ช่วงนี้มีข่าวหนาหู เรื่องพนักงานบริษัท นั่งทำงานจนตายคาออฟฟิศ
หลายคนอาจจะคิดว่า เป็นเรื่องที่เกินจริงเกินไปหรือเปล่า แต่มันเกิดขึ้นแล้วครับ และไม่ใช่เคสแรกของโลก มีข่าวแบบนี้ในหลายประเทศ และบางรายก็เกิดจากการทำงานหนักจนเกินไป แล้วฟางเส้นสุดท้ายของชีวิต ก็มาขาดผึงที่ออฟฟิศ
แน่นอนครับ เรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแบบเฉพาะวันนั้นๆ แน่นอน เช่น มีปัญหาเกิดเมื่อเช้า แล้วเสียชีวิตตอนบ่าย ส่วนมากแล้วเกิดจากการสะสม ความเครียด ปัญหาสุขภาพ และแรงกดดันต่างๆ แล้ววันนึงมันก็มาถึงวันที่ร่างกายไปต่อไม่ไหว แล้วก็ดับลงในออฟฟิศ
เมื่อเกิดกรณีแบบนี้ขึ้นบนหน้าข่าว และโซเชียลมีเดีย ในหลายๆ ครั้ง ในหลายๆ ประเทศ ผมได้ลองไปตามอ่านคอมเมนต์เพื่อดูความเห็นของชาวเน็ตว่ามองเรื่องนี้อย่างไร
ต้องยอมรับครับว่า ผมแปลกใจและเซอร์ไพรส์กับหลายๆ คอมเมนต์ บางกรณีก็ไปสุดโต่งมากจนถึงขั้นไร้หัวใจ แต่ผมไม่ขอนำเคสสุดโต่งมามองรวมในเรื่องที่กำลังจะเล่าต่อไปนี้ครับ
บางกรณี (ส่วนใหญ่) โทษบริษัท และหัวหน้างานทันทีว่าใจร้าย และใช้งานพนักงานหนักจนเกินไป จนทำให้เขาต้องจบชีวิตลง
บางกรณี โทษพนักงานที่ไม่รักตัวเอง ปล่อยให้เรื่องราวสะสมบานปลาย จนถึงชีวิตของตัวเอง
บางกรณี โทษ HR ที่ไม่มาดูแลพนักงาน ไม่สนใจสุขภาวะของพนักงาน และไม่ลงมาวางมาตรการอะไร
ใครผิดใครถูก ผมคงตอบให้ไม่ได้ เพราะแต่ละกรณีที่เกิด มันก็ตามแต่ละกรณีและเงื่อนไขกันไป แต่เหนือสิ่งอื่นใด ที่ผมอยากพูดมากที่สุดคือ เราควรป้องกันอย่างไร ไม่ให้เรื่องร้ายแรงนี้เกิดขึ้นอีก หรือเกิดน้อยที่สุด ยิ่งน้อยเท่าไรยิ่งดี
สำหรับตัวพนักงานเอง – ณ วันนี้ พนักงานแต่ละคนต้องประเมินตนเอง ทั้งสุขภาพกายและใจให้ถ่องแท้แล้วครับว่างานของคุณมันกำลังฆ่าคุณไหม
เรื่องทางกาย การตรวจสุขภาพประจำปีหรือการใส่ใจตนเองเป็นเรื่องสำคัญมากครับ และอย่าได้มองว่าเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย เชื่อไหมครับว่า จากประสบการณ์ของผม พนักงานออฟฟิศมักลืมและละเลยการไปตรวจสุขภาพประจำปี แม้จะเป็นสวัสดิการที่หลายบริษัทเขามีไว้ให้พนักงานทุกคนใช้ฟรี
และข้อเท็จจริงอีกข้อที่น่าตกใจคือ พนักงานออฟฟิศจำนวนมากมีปัญหาสุขภาพที่เกิดจากการทำงานหนัก และการขาดการดูแลตนเอง เช่น ออฟฟิศซินโดรม ไขมันพอกตับ ปัญหาความดัน และปัญหาไขมันเลวในร่างกาย
เรื่องทางใจและกำลังสมอง เป็นอีกเรื่องที่ห้ามละเลยคนเองโดยเด็ดขาด ณ วันนี้มีรายงานออกมาว่า 40% ของแรงงานในตลาดแรงงานในบางประเทศรู้สึก Burnout หรือกำลังหมดไฟ
และส่วนใหญ่ๆ ใน 40% นั้น พร้อมจะลาออกจากงานแบบที่ยังไม่มีงานรองรับ เพราะไม่ไหวจะเคลียร์แล้วกับงานที่เจอปัจจุบัน
ถ้าตัวเราเองกำลังเดินหน้าไปถึงขั้นนั้นหรือไกลกว่านั้น เช่น เริ่มเกิดภาวะซึมเศร้า จงรีบหาทางรักษา ขอความช่วยเหลือ และหาทางออกให้ตัวเอง มากกว่าที่จะยอมจำนนอยู่และเดินเข้าสู่จุดจบทั้งๆ ที่เรายังแก้ไขมันได้
และอีกจุดที่สำคัญคือ อย่าสร้างความเครียดให้ตนเองในแบบที่ไม่จำเป็น (เพราะงานก็เครียดมากพอแล้ว) เช่น สร้างภาระหนี้สินที่เกิดจากความฟุ่มเฟือย หรือดราม่าในชีวิตที่จริงๆ แล้วไม่ควรจะเกิด เพราะเรื่องเหล่านี้มันคือตัวเสริมความเครียด และปมปัญหาในชีวิตแบบที่ไม่จำเป็
สำหรับเพื่อนร่วมงาน และหัวหน้างาน – อยากให้เป็นคนช่างสังเกต และ Sensitive ให้มากพอที่จะเห็นว่ามีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลังหรือเปล่า ไม่ว่าจะด้วยเรื่องทางกายหรือใจ
โดยเฉพาะเมื่อเราเข้าสู่การทำงานแบบ New normal หรือ Now normal แบบนี้แล้ว เมื่อเราเห็นกันแบบตัวต่อตัวน้อยลง การถามไถ่ ใส่ใจกันบ่อยขึ้น สังเกตมากขึ้น เป็นเรื่องสำคัญมาก
หัวหน้างานเอง ควรประเมินสถานการณ์ของทีมงานแต่ละคนแบบที่ใส่ใจ และไม่ตัดสินแบบดูองค์รวมเท่านั้น หัวหน้างานควรจะเข้าใจเงื่อนไขของทีมงานแต่ละคน และเข้าใจเสมอว่าแต่ละคนมีเงื่อนไขชีวิตไม่เหมือนกัน
พนักงานคนไหนที่มีปัญหาอะไร และเราควรเข้าไปดูใกล้ชิดขึ้นอย่างไร หรือถ้าบางเรื่องเกินกำลังและเกินความรู้ของเราในฐานะหัวหน้างาน เราต้องสามารถบอกได้ว่า พนักงานควรไปขอความช่วยเหลือจากที่ไหน และอำนวยความสะดวกให้เขาได้รับความช่วยเหลือนั้น
ถ้าชัดเจนว่า งานของเขากำลังหนักเกินไป จงใช้พลังทีมงานมาช่วย เพราะคุณคือหัวหน้า คุณมีอำนาจในการกระจายงานได้ แต่ถ้ามันเป็นเรื่องที่เกินกว่านั้น รีบยกระดับมันไปให้ถึงมือผู้ที่ช่วยเหลือได้หรือเชี่ยวชาญครับ
สำหรับ HR และ องค์กร – คุณอาจจะดูเป็นผู้ร้ายในกรณีแบบนี้อยู่เสมอนะครับ บางทีก็ต้องทำใจ แม้ว่าคุณและองค์กรจะมีนโยบายรองรับและดูแลเรื่องสุขภาพกายใจของพนักงานไว้อย่างดีแล้ว
ถ้าจะทำให้ดีขึ้น สิ่งแรกที่ต้องถามตนเองและองค์กรคือ เราดูแลพนักงานทั้งกายและใจได้อย่างเพียงพอแล้วหรือไม่ ไม่ได้กำลังบอกว่าต้องไปถึงระดับ First class ครับ เพราะส่วนนึงมันคือต้นทุนและค่าใช้จ่ายของบริษัท
แต่ผมกำลังถามว่า เราดูแลพนักงานอย่างเพียงพอและเหมาะสมแล้วหรือไม่กับธุรกิจของเรา งานที่เราให้เขาทำ และสิ่งที่เขาต้องเจออยู่ทุกวันที่มาทำงาน
อย่างที่สอง ถ้ามีพื้นฐาน มีนโยบายที่ดีแล้ว…เราได้สื่อสารและนำมันมาใช้จริงหรือไม่ พนักงานทราบหรือไม่ หรือจริงๆ แล้วมันคือกระดาษที่คุณแปะไว้ แต่พอเจอเรื่องจริงในชีวิตจริง ไม่มีอะไรเป็นไปตามนั้นเลย
สำคัญที่สุด คุณได้สร้างให้หัวหน้างานให้เป็น People manager หรือไม่ เรื่องนี้สำคัญมากครับ เพราะต่อให้องค์กรคุณมีนโยบายที่ดีขนาดไหน แต่ถ้าหัวหน้างานผู้ที่เป็นคนใกล้ชิดกับพนักงานมากที่สุดดันเป็นผู้ร้าย กดขี่ ไม่ sensitive เพียงพอ และไร้ความเป็นมนุษย์ มันก็ไม่มีประโยชน์เลยครับ
ที่พูดมาทั้งหมดนี้ ขอย้ำว่าไม่ได้อยากให้มีเคสความสูญเสียเกิดขึ้นอีกแล้ว การเสียชีวิตในที่ทำงานไม่ใช่เรื่องสวยงามเลย เป็นเรื่องน่าเศร้าที่สุด และคงไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น
ดังนั้น ทุกคนที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมการทำงานเดียวกันมีส่วนช่วยเหลือกันได้ครับ ดีกว่าที่เมื่อเกิดปัญหาแล้วก็กลับมาสู่โหมด “วัวหายล้อมคอก” หรือชี้หน้าโทษกันเอง หรือแม้แต่กระทั่ง….โทษคนตาย
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง:










