
ประเด็นคือ – ญาติได้พานักศึกษาเเพทย์ ผู้ต้องหาวางยาสุนัข เพื่อหวังเงินประกัน เข้าพบ ตร.ตามหมายเรียก โดยผู้ต้องหาขอไปให้การในชั้นศาล ซึ่งคดีดังกล่าวมีอัตราโทษ จำคุก 2 ปี ปรับ 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
เวลา 12.30 น. วันที่ 24 ก.ย. 60 กรณีปศุสัตว์ จ.นครราชสีมา แจ้งความดำเนินคดีกับ หนุ่มนักศึกษาแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดลอายุ 24 ปี ข้อหาทารุณกรรมสัตว์ หลังถูกกล่าวหาวางยาฆ่าสุนัขพันธุ์ปอมเมอเรนียน ชื่อว่า “เจ้าซีซ่า” เพศผู้ อายุ 7 เดือน ตายอย่างน่าอนาถ ระหว่างพาขนส่งสุนัขจากกรุงเทพฯ กลับบ้านที่ อ.โชคชัย จ.นครราชสีมา เพื่อหวังเงินประกัน 50,000 บาท สร้างความสะเทือนใจแก่ผู้รักสุนัข ตามที่เป็นข่าวดังมาอย่างต่อเนื่องตลอด 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา

ล่าสุด พ.ต.ท.พิชัย เชิดชู หัวหน้าพนักงานสอบสวน สภ.โพธิ์กลาง อ.เมือง จ.นครราชสีมา เปิดเผยว่า หลังตำรวจรวบรวมหลักฐานผลพิสูจน์เม็ดยา 12 เม็ดที่พบตกค้างในกระเพาะอาหารสุนัข และพบในกระเป๋าใส่สุนัขอีก 1 เม็ด ยืนยันชัดเจนว่าเป็นยาลดความดันและยาในกลุ่มเกลือแร่ จนมั่นใจในพยานหลักฐานว่าตัวยาดังกล่าวเป็นสาเหตุทำให้สุนัขตาย ซึ่งนักศึกษาเเพทย์ยอมรับว่าเป็นคนป้อนยาให้สุนัขกินขณะเดินทาง ตำรวจจึงออกหมายเรียกให้มาพบพนักงานสอบสวนเพื่อรับทราบข้อกล่าวหา โดยหมายเรียกถูกส่งไปยังภูมิลำเนาที่ อ.โชคชัย จ.นครราชสีมา เมื่อวันที่ 20 กันยายนที่ผ่านมา
กระทั่งล่าสุด เมื่อช่วง 21.00 น.วันที่ 23 ก.ย. ที่ผ่านมา ญาติๆ พร้อมทนายความได้พาตัวนักศึกษาเเพทย์รายดังกล่าวมาพบ ร.ต.อ.สมเกียรติ กล้ากระโทก พนักงานสอบสวน สภ.โพธิ์กลาง เพื่อรายงานตัวรับทราบข้อกล่าวหา โดยรายงานตัวทำบันทึกประวัติอาชญากรรม ทั้งเซ็นรับทราบข้อกล่าวหาทารุณกรรมสัตว์ พร้อมพิมพ์ลายนิ้วมือ ใช้เวลากว่า 30 นาที ตำรวจจึงปล่อยตัวกลับ เนื่องจากเป็นการเดินทางมาพบตามหมายเรียก

ทั้งนี้ นักศึกษาเเพทย์ไม่ยอมให้การใดๆ ไม่รับสารภาพและไม่ปฏิเสธ แต่ขอให้การในชั้นศาล ซึ่งเป็นสิทธิ์ของผู้ต้องหา หลังจากนี้พนักงานสอบสวนจะได้รวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมด ทำสำนวนส่งอัยการเพื่อพิจารณาฟ้องศาลในขั้นตอนต่อไป โดยคาดว่าต้องใช้เวลาอีกไม่น้อยกว่า 1 สัปดาห์ จึงจะส่งสำนวนให้อัยการได้
อย่างไรก็ตาม คดีนี้ผู้ต้องหาพร้อมญาติ ๆ ตัดสินใจเข้าพบพนักงานสอบสวนตามหมายเรียก ถือว่าให้ความร่วมมือกับตำรวจเป็นอย่างดี โดยไม่ประวิงเวลาจนถึงขั้นต้องออกหมายจับ ซึ่งจะทำให้คดียุ่งยาก ส่วนความผิดในคดีทารุณกรรมสัตว์มีโทษจำคุก 2 ปี ปรับ 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ









