ถ้าไทยไม่สร้าง ‘เทคโนโลยี’ ของตัวเอง เราจะตกขบวนไปอีก 10 ปี
นี่คือคำเตือนจาก คุณจี๊ป ไคลน์ (Jeep Klein) VC หญิงไทยทรงอิทธืพลใน Silicon Valley ผู้เคยเป็นที่ปรึกษารัฐบาลในหลายประเทศ จากทำการงานใน World Bank และ Intel มาก่อน
เธอเชื่อว่า ไทยต้องเปลี่ยนจาก ‘แรงงาน’ เป็น ‘นวัตกรรม’ และลุย Deep Tech อย่างเต็มที่ให้ได้ตั้งแต่วันนี้ ไม่อย่างนั้น อนาคตเศรษฐกิจไทยอาจต้องพึ่งพาเทคโนโลยีของประเทศอื่นไปตลอด
ซึ่งเป็นที่มาของการก่อตั้ง Raisewell Ventures กองทุน Deep Tech และ Impact Fund ที่มีภารกิจปั้นเทคโนโลยีจากไทย และอาเซียน สู่เวทีโลก
[ จากเศรษฐศาสตร์สู่เทคโนโลยี: เส้นทางของผู้หญิงที่ฝันอยากเปลี่ยนแปลงโลก ]
ย้อนไปเมื่อ 20 ปีก่อน ท่ามกลางวิกฤตต้มยำกุ้ง เด็กสาวมัธยมปลายคนหนึ่งนั่งดูข่าวเศรษฐกิจแล้วถามตัวเองว่า “เราจะช่วยประเทศได้ยังไง?”
เด็กคนนั้นคือ จี๊ป ไคลน์ ผู้ที่กลายมาเป็นหนึ่งใน VC หญิงไม่กี่คนของ Silicon Valley
“ตอนนั้นยังไม่รู้จักคำว่า VC ด้วยซ้ำค่ะ แค่อยากเรียนเศรษฐศาสตร์ เพราะอยากเข้าใจว่าประเทศจะฟื้นจากวิกฤตยังไง”
เธอเลือกเรียนเศรษฐศาสตร์ที่จุฬาฯ ด้วยความตั้งใจแบบเด็กๆ ที่ฝันอยากพัฒนาประเทศบ้านเกิด
หลังเรียนจบ เธอบินไปต่อโทที่มหาวิทยาลัย Michigan ในอเมริกา และมีโอกาสเล่าเป้าหมายชีวิตให้อาจารย์ฟัง
จนวันหนึ่ง อาจารย์ถามเธอว่า
“เคยคิดอยากทำงานที่ World Bank ไหม?”
ฟังดูเหมือนเพ้อฝัน เพราะที่นั่นมักรับแต่คนมีดีกรีปริญญาเอก Ivy League แต่เธอไม่ถอย แม้จะโดนปฏิเสธถึง 49 ครั้ง…จนกระทั่งมีคนให้โอกาสในครั้งที่ 50
“ทำงานได้เดือนครึ่ง เขาก็โปรโมตให้เป็นนักเศรษฐศาสตร์เต็มตัวค่ะ
จากนั้น 3-6 เดือน ก็ได้บินไปเป็นที่ปรึกษารัฐบาลในหลายประเทศ”
ประสบการณ์ลงพื้นที่ในแอฟริกาคือจุดเปลี่ยน เธอได้เห็นประเทศที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ในบางพื้นที่ แต่กลับใช้มือถือโอนเงินกันได้
นั่นทำให้เธอเข้าใจว่า
เทคโนโลยีเปลี่ยนชีวิตคนได้จริง และสามารถเปลี่ยนประเทศได้โดยไม่ต้องรอภาครัฐ
เธอจึงลาออกจาก World Bank และย้ายไปทำงานกับ Intel ที่ Silicon Valley
เธอจึงได้เห็นว่า นวัตกรรมไม่ได้เกิดขึ้นเอง แต่ต้องมี “เงินทุน” หนุนอยู่เบื้องหลัง
นั่นคือจุดเริ่มต้นที่พาเธอเข้าสู่โลกของ VC และลงทุนในสตาร์ทอัพที่กำลังจะเข้าตลาด ผ่านกองทุนในหลายประเทศ
จนในที่สุด เธอก็ได้ก่อตั้งกองทุนของตัวเองในชื่อ Raisewell Ventures
เพื่อสนับสนุนนวัตกรรมที่เปลี่ยนแปลงโลกได้จริง
[ คลื่นลูกต่อไปที่จะเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจคือ Deep Tech ]
“เวลาประเทศอยากโตจริงๆ มันต้องมีการผลิต มี supply chain มีสิ่งที่สร้าง productivity และงานให้คน ไม่ใช่แค่เพิ่ม valuation ในกระดาษ”
เธอย้ำว่า บริษัทระดับโลกที่เป็นฟันเฟืองสำคัญของเศรษฐกิจในวันนี้ ไม่ว่าจะในสหรัฐฯ จีน หรือยุโรป ล้วนเริ่มต้นจากการลงทุนใน Deep Tech ทั้งสิ้น และนั่นคือเหตุผลที่ไทยต้องเร่งผลักดันการสร้างเทคโนโลยีของตัวเอง และห้ามตกขบวนของเทรนด์โลก
“เราเป็นประเทศผู้ผลิต เราเชี่ยวชาญอยู่แล้วในเรื่องโรงงาน เรื่องอะไหล่รถยนต์ เรื่อง food processing แต่เรายังไม่ได้ต่อยอดสิ่งเหล่านี้ไปสู่การสร้างนวัตกรรมของเราเอง”
เธอชี้ว่า โลกกำลังเปลี่ยนผ่านจากยุคของแอปพลิเคชันและซอฟต์แวร์ล้วน ไปสู่ยุคของเทคโนโลยีที่จับต้องได้ ซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่แค่หุ่นยนต์หรือชิปเซ็ตแบบในอดีตอีกต่อไป
แต่กำลังกลายเป็นเทคโนโลยีที่แทรกซึมอยู่ในชีวิตจริง ตั้งแต่ AI สำหรับระบบการผลิตในโรงงาน, เทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไปจนถึงเซนเซอร์ในการตรวจโรค
“สมัยก่อน อินโดนีเซียคือฮีโร่ของวงการสตาร์ตอัพอาเซียน เพราะเขามีฟินเทค มี super app แต่ช่วง 3-5 ปีมานี้เงียบลงไป เพราะโลกกำลังขยับจากซอฟต์แวร์ มาสู่สิ่งที่ลึกกว่าและจับต้องได้มากกว่า”
สิ่งที่น่าสนใจคือ แม้ Deep Tech จะเป็นเทคโนโลยีที่ต้องใช้เงินทุนสูงและระยะเวลานานในการพัฒนา แต่มันกลับเป็นโอกาสของ “ประเทศกำลังพัฒนา” ซึ่งเธอมองว่าไทยมีศักยภาพสูง และอาจกลายเป็นผู้เล่นที่ชนะได้ ถ้ากล้าก้าวก่อน
[ สามเสาหลักแห่งการพัฒนา: เอกชน มหาวิทยาลัย และรัฐบาล ]
หลายคนอาจตั้งคำถามว่า ประเทศเล็กๆ อย่างไทย จะมีโอกาสเป็นผู้เล่นระดับโลกได้จริงหรือไม่? สำหรับคุณจี๊ป ไคลน์ คำตอบไม่ใช่เรื่องของ “ได้หรือไม่ได้” แต่เป็นเรื่องของ “เราจะสร้างระบบแบบไหนให้มันเกิดขึ้นได้ต่างหาก”
เธอเล่าว่า ถ้ามองประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องนวัตกรรมระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นอเมริกา อิสราเอล หรือสิงคโปร์ เบื้องหลังไม่ได้มีแค่ภาครัฐที่ขับเคลื่อน หรือแค่สตาร์ตอัพที่เก่งมากๆ เพียงลำพัง แต่มันเกิดจากโครงสร้างที่มี 3 เสาหลักทำงานร่วมกัน
.
คือ นักลงทุนเอกชนที่กล้ารับความเสี่ยง, มหาวิทยาลัยหรือสถาบันวิจัยที่สร้างเทคโนโลยีต้นน้ำ, และรัฐบาลที่เข้าใจว่าการผลักดันนวัตกรรมต้องเริ่มตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ
“วันนี้เรามีมหาวิทยาลัยที่เริ่มผลิต IP ได้แล้วนะคะ เรามีสตาร์ตอัพบางรายที่เริ่มต่อยอดงานวิจัยในไทยเองด้วยซ้ำ แต่เขาแค่ต้องการใครสักคนที่จะเชื่อในเขา และช่วยปั้นให้พร้อมขึ้นเวทีระดับภูมิภาค”
“รัฐบาลต้องเป็นสะพานให้เอกชนข้ามได้เร็วขึ้น และไม่ควรเป็นอุปสรรคในวันที่เขาพร้อมวิ่ง”
หลายเทคโนโลยีที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นอินเทอร์เน็ตหรือ GPS ก็ไม่ได้ถูกสร้างโดยบริษัทเอกชนตั้งแต่แรก แต่เกิดจากงบวิจัยของรัฐ แล้วค่อยถูกต่อยอดเชิงพาณิชย์โดยบริษัทอย่าง Google หรือ Apple ในเวลาต่อมา
“ถ้าไม่มีภาครัฐหนุน อินเทอร์เน็ตอาจไม่เกิด
ถ้าไม่มีมหาวิทยาลัยอย่าง MIT หรือ Stanford… เทคโนโลยีเหล่านี้อาจไม่ถึงจุดที่ใช้งานได้จริง”
แต่เธอมองว่าไทยยังไม่ต้องรอให้ “ครบ 3 เสา” พร้อมกัน เพราะลำพังแค่การร่วมมือกันของนักลงทุนเอกชนและมหาวิทยาลัยก็เป็นจุดเริ่มต้นที่แข็งแรงพอแล้ว
บริษัทเทคโนโลยีที่อยู่ใน Nasdaq ทุกวันนี้กว่า 57% ก็ไม่ได้เติบโตได้โดยลำพังหรือพึ่งพาภาครัฐมาตั้งแต่แรก แต่เป็นเพราะได้รับการลงทุนของ Venture Capital มาก่อนในช่วงแรก
แต่เนื่องจากคนที่เห็นภาพกว้างที่สุดของส่วนผสมนี้คือ Venture Capital คุณจี๊ปมองว่าหน้าที่ของ Raisewell Ventures จึงไม่ใช่แค่ “ลงเงิน” แต่ต้อง “เชื่อมเสา” เหล่านี้เข้าด้วยกัน
– เชื่อมนักวิจัยกับผู้ประกอบการ
– เชื่อมสตาร์ตอัพกับนักลงทุนต่างชาติ
– เชื่อมของดีในประเทศกับความเข้าใจของตลาดโลก
“เราคือตัวเร่งปฏิกิริยา (Catalyst) ถ้าประเทศจะก้าวกระโดด เราต้องมีตัวเร่ง แล้ว Deep Tech จะไม่ใช่แค่ความหวัง แต่เป็นโอกาสที่เป็นจริงได้”
[ การเดินเกมของ Raisewell Ventures ]
ช่วงที่เธอก้าวเข้าสู่โลกของเทคโนโลยีและเงินทุน ตอนนั้นในไทย ยังแทบไม่มีใครรู้จักคำว่า “Venture Capital” ไม่มีกองทุนที่โฟกัสด้านเทคโนโลยีอย่างจริงจัง และยังไม่มีใครตอบได้ว่า ถ้าจะเอาทุนมาสร้างนวัตกรรม ควรอยู่ภายใต้โมเดลธุรกิจแบบไหน
.
“มันใหม่มากสำหรับภูมิภาคเรา ตอนนั้นไม่มีทางรู้เลยว่ากองทุนแบบนี้จะหน้าตาเป็นยังไง… ต้องเรียนรู้จากของจริง แล้วค่อยๆ ปรับให้เหมาะกับประเทศของเราเอง”
เธอเริ่มสังเกตและหยิบเอาโมเดลจาก Silicon Valley มาปรับใช้กับบริบทของไทย พร้อมแนวคิดสำคัญว่า ถ้าอยากก้าวทันโลก ต้อง “คิดใหญ่ตั้งแต่แรก”
ไม่ใช่แค่ทุ่มเงินไปที่เทรนด์ฮิต แต่เลือกลงทุนในทีมที่มีเทคโนโลยีจริง แก้ปัญหาจริง และมีศักยภาพโตในตลาดสากลได้
เธอเรียกแนวทางนี้ว่า “การลงทุนเพื่อสร้างเศรษฐกิจจริง”
Raisewell Ventures จึงมุ่งลงทุนใน Deep Tech ที่จับต้องได้ และสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงเศรษฐกิจ โดยเน้น 3 อุตสาหกรรมหลักที่ “ไทยมีจุดแข็ง” และ “โลกต้องการ”
- AI ที่ใช้จริงในอุตสาหกรรมการผลิต
- Climate Tech เช่น เทคโนโลยีแบตเตอรี่ วัสดุก่อสร้างสีเขียว หรือเกษตรอัจฉริยะ
- Health Tech ที่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำด้านสาธารณสุข
และไม่ใช่แค่ให้เงิน “ลงทุน” แต่เธอลงไปทำงานกับผู้ก่อตั้งจริงๆ
Raisewell Ventures มองหา startup ที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่ไทยแข็งแรง แต่ยัง “ขาดเทคโนโลยีระดับสูง” แล้วเข้าไปช่วยผลักดันให้กลายเป็น Global Company
เริ่มตั้งแต่การวาง business model ใหม่ เคลียร์วิสัยทัศน์ ไปจนถึงเตรียมทีมให้พร้อมสำหรับการระดมทุนระดับภูมิภาค
“คนไทยต้องไม่เป็นแค่ผู้ผลิตของราคาถูกอีกต่อไป เราสามารถเป็นเจ้าของเทคโนโลยีได้ ถ้าเรากล้าลงมือ”
Raisewell เริ่มลงทุนอย่างจริงจังในปี 2023 และในเวลาเพียงปีเดียว เธอเข้าไปลงทุนแล้ว 12 บริษัทใน 4 ประเทศ
บางรายมีแผนจะ IPOอีกไม่กี่ปี และที่น่าสนใจคือ หลายบริษัทเป็น Deep Tech สายฮาร์ดแวร์ล้วน ซึ่งสวนทางกับกระแสที่ว่า VC ไม่ลงทุนในฮาร์ดแวร์อีกต่อไป
“ของแบบนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเทรนด์ มันขึ้นอยู่กับว่า… คุณเห็นอะไร และคุณกล้าเดิมพันกับอะไร”
[ ถ้าไทยตกขบวนรอบนี้ อาจล้าหลังไปอีก 10 ปี ]
“10 ปีที่แล้วเราพลาด Cloud และ Mobile ตอนนี้อย่าพลาด AI ซ้ำอีก”
คุณจี๊ปมองว่า AI ไม่ใช่เรื่องของอนาคตอีกต่อไป แต่มันคือ ‘next platform shift’ ที่กำลังเกิดขึ้น และจะเปลี่ยนโครงสร้างอุตสาหกรรมทั่วโลก
เธอเล่าว่าบริษัทใหม่ๆ ในสาย Generative AI, Quantum, Biotech และ Climate Tech เกิดขึ้นทุกวัน และหลายรายเติบโตเป็นยูนิคอร์นภายในเวลาไม่ถึง 5 ปี
“AI จะไม่มาแย่งงาน แต่จะเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจทั้งระบบ
แต่เมื่อมองกลับมาที่ไทย เรายังถกเถียงกันอยู่ว่าจะ “เริ่มดีไหม?” หรือ “ควรรอให้พร้อมก่อน?” ทั้งที่จริง เรามีศักยภาพจะเป็นฐานพัฒนา Deep Tech ได้ ขอแค่มีคน “ลงมือ” อย่างจริงจัง มียุทธศาสตร์ชัด เป้าหมายกล้า และวัฒนธรรมแบบ startup ที่กล้าล้ม กล้าลุก
“ของแบบนี้ ถ้าไม่เริ่มตั้งแต่วันนี้ อีก 10 ปี เราจะเจอปัญหาเดิม… ไทยตามหลังอีกแล้ว”
“เราต้องเปลี่ยนโหมดจาก being a follower มาเป็น first mover ในบางเรื่องบ้างแล้วค่ะ”










