
‘ทนายเกิดผล’ โพสต์เฟซบุ๊กกรณีพ่อโดนแย่งลูกกลางโรงเรียนแห่งหนึ่ง อ.บางละมุง จ.ชลบุรี แนะฝ่ายชายฟ้องกลับชุดจับกุมตามสิทธิ์ทางกฎหมายได้ทันที หลังเมียแจ้งความเท็จ ด้าน ‘สารวัตรเอก’ ชี้เจ้าหน้าที่ทำรุนแรงเกินกว่าเหตุ ไม่คิดถึงใจเด็ก
จากกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารบุกจับกุม นายธารา เวลาแจ้ง อายุ 35 ปี ภายในโรงเรียนแห่งหนึ่ง ท่ามกลางการมุงดูของครู นักเรียนและชาวบ้าน หลังอดีตภรรยาแจ้งความเท็จต่อเจ้าหน้าที่และศูนย์ดำรงธรรมว่า สามียุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด และมีอาวุธปืน อ้างกลัวลูกโดนทำร้าย และได้พาเจ้าหน้าที่มาควบคุมตัวถึงโรงเรียนขณะฝ่ายชายมาหาลูกสาวที่โรงเรียนช่วงพักกลางวัน แล้วฉวยโอกาสแย่งตัวลูกสาว 2 คนไป จนเกิดเหตุการณ์ตามที่ปรากฏในคลิปวิดีโอ จนกลายเป็นกระแสวิพากษ์ในโลกออนไลน์ถึงการจับกุมของเจ้าหน้าที่ที่รุนแรงเกินกว่าเหตุ

ล่าสุด ทนายเกิดผล แก้วเกิด ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กให้ข้อมูลเกี่ยวกับข้อกฎหมาย ระบุว่า เป็นผม ผมจะดำเนินคดีตำรวจที่ร่วมจับกุมทั้งหมด เพราะคดีนี้เป็นการจับกุมไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีหมายจับของศาล ไม่ใช่ความผิดซึ่งหน้า เพราะไม่มีสิ่งผิดกฎหมายตามที่ภรรยาแจ้งความเท็จ เมื่อการจับกุมไม่ชอบ ผลที่ตามมา คือ มาตรา 157 , 295 , 309 ,310 + 83 ตามมาอย่างแน่นอน
ที่ผู้กำกับให้สัมภาษณ์ ว่า ต้องควบคุมตัวเพราะเจ้าตัวโวยวาย ผมไม่เห็นเห็นด้วยแน่นอน เพราะถ้าการจับกุมไม่ชอบเสียแล้ว อย่าว่าแต่โวยวายเลยครับ แม้ต่อสู่ขัดขวางและทำร้ายตำรวจ ยังไม่เป็นความผิด เพราะเขามีสิทธิตามกฎหมายครับท่าน
ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8722/2555 เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า บริเวณที่เกิดเหตุอยู่บนถนนสุทธาวาสไม่ใช่หลังซอยโรงถ่านตามที่สิบตำรวจโท ก. และสิบตำรวจตรี พ. อ้างว่ามีอาชญากรรมเกิดขึ้นประจำแต่อย่างใด และจำเลยไม่มีท่าทางเป็นพิรุธคงเพียงแต่นั่งโทรศัพท์อยู่เท่านั้น การที่สิบตำรวจโท ก. และสิบตำรวจตรี พ. อ้างว่าเกิดความสงสัยในตัวจำเลยจึงขอตรวจค้น โดยไม่มีเหตุผลสนับสนุนว่าเพราะเหตุใดจึงเกิดความสงสัยในตัวจำเลย จึงเป็นข้อสงสัยที่อยู่บนพื้นฐานของความรู้สึกเพียงอย่างเดียว ถือไม่ได้ว่ามีเหตุอันควรสงสัยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 93 ที่จะทำการตรวจค้นได้ การตรวจค้นตัวจำเลยจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
#จำเลยซึ่งถูกกระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายจึงมีสิทธิโต้แย้งและตอบโต้เพื่อป้องกันสิทธิของตน ตลอดจนเพิกเฉยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งใด ๆ อันสืบเนื่องจากการปฏิบัติที่ไม่ชอบดังกล่าวได้ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง ปล.ถ้าต้องการคำแนะนำ ให้เจ้าตัวติดต่อผมมาได้เลยครับ
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=505605829850518&id=100012033163351
นอกจากนี้ยังมีผู้ใช้เฟซบุ๊ก สารวัตรเอก หุ่น หรือ พ.ต.ท.เอกราช หุ่นงาม รอง ผกก.ป. สภ.เมืองประจวบคีรีขันธ์ โพสต์เฟซบุ๊กแสดงความคิดเห็นจากเหตุการณ์นี้ว่า กรณีตำรวจทหารจับตัวชายเพื่อแย่งเอาลูกไปให้แม่นั้น ผมดูเหตุการณ์แล้ว ลูกยื่นมือหาพ่อ ไม่มีอาการว่าจะไปกับแม่เลย เรื่องพ่อแม่ลูก โดยเฉพาะเด็กมันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก ไม่ควรทำกันรุนแรงแบบนั้น ไม่ใช่มีหมายศาลแล้วจะบีบคอพ่อเขาแล้วแย่งเอาลูกไปโดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกของเด็ก เห็นแล้วไม่สบายใจ เรื่องนี้ผู้เกี่ยวข้องควรคิดและทำกันให้ดีกว่านี้ !!
https://www.facebook.com/aggrach/posts/10211351489888383
อย่างไรก็ตาม ด้าน พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รอง โฆษก ตร. ชี้แจงวานนี้ว่า ตำรวจทั่วประเทศ มีการฝึกยุทธวิธีตำรวจในการเข้าจับกุมอยู่เป็นประจำ ซึ่งจะต้องดำเนินการตามกรอบกฎหมายอย่างเคร่งครัด มีการประเมินสถานการณ์ และการใช้กำลังของเจ้าหน้าที่ตามลำดับความรุนแรง เพื่อความปลอดภัย ของเจ้าหน้าที่ ผู้ถูกจับกุม และประชาชนโดยรอบ ถ้าเห็นว่าไม่เหมาะสมก็มีช่องทางร้องเรียนได้อยู่แล้ว แต่ขอให้เห็นใจและให้ความเป็นธรรม กับเจ้าหน้าที่ตำรวจในการเข้าไประงับเหตุ ซึ่งจะต้องเสี่ยงอันตราย จากการขัดขืนของผู้ต้องหา และอาจจะพกพาอาวุธได้อย่างไรก็ตามภาพที่ปรากฎจากคลิปดังกล่าวเป็นเหตุการณ์เพียงช่วงหนึ่งเท่านั้น ขอยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจกระทำตามอำนาจหน้าที่ ไม่ได้ทำเกินกว่าเหตุเเต่อย่างใด ที่ผ่านมา พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.ได้เน้นย้ำมาโดยตลอดว่าให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ หมั่นฝึกทบทวนการปฏิบัติงาน ตามยุทธวิธีตำรวจอยู่เสมอ เพื่อให้เกิดความเคยชิน ลดการสูญเสีย และสร้างความเชื่อมั่นให้กับพี่น้องประชาชน โดยจะต้องยึดหลัก กระทำการตามอำนาจหน้าที่ อยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย และใช้หลักยุทธวิธีตำรวจควบคู่กันไป









