
ภาพจาก FB. อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา
ประเด็นคือ- อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา เผยมีนักท่องเที่ยวเขียนจดหมายขอขมาพร้อมส่งคืนก้อนอิฐที่นำไปจากวัดไชยวัฒนาราม หลังจากป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ
เมื่อวันที่ 24 เม.ย.61 เพจเฟซบุ๊ก “อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา” เผยแพร่ภาพอิฐเก่าดอกไม้ ธูป เทียน และจดหมายฉบับหนึ่ง โดยเนื้อหาในจดหมายระบุว่า ได้ไปเที่ยวที่วัดไชยวัฒนาราม และได้ขออิฐกลับบ้านมา 1 ก้อน ก็ไม่สบายใจ เกิดอาการป่วยไม่รู้สาเหตุ จึงขอส่งอิฐก้อนนี้กลับคืน พร้อมทั้งขอขมาลาโทษที่รู้เท่าไม่ถึงกาล พร้อมดอกไม้ ธูป เทียน

ขณะที่ทางเพจระบุว่า “อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาได้รับโบราณวัตถุที่มีผู้เก็บกลับไปคืนมา จึงขอฝากทุกท่านที่เที่ยวชมโบราณสถานว่าควรเที่ยวชมด้วยความสุภาพ ไม่รื้อหรือเก็บสิ่งใดกลับไป เพราะจะยิ่งทำให้โบราณสถานยิ่งเสียหายมากขึ้น
หมายเหตุ…เรื่องการส่งคืนโบราณวัตถุครั้งนี้เป็นความเชื่อเฉพาะบุคคล”

https://www.facebook.com/AY.HI.PARK/posts/594452000903642
สำหรับเหตุการณ์นี้ไม่ใช่ครั้งแรก โดยมีรายงานว่า เมื่อเดือน ก.พ.61 ที่ผ่านมา มีชาวต่างชาติส่งพัสดุไปยังสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานใหญ่ โดยระบุให้ส่งต่อมายังสำนักงานที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยภายในพัสดุเป็นเศษซากอิฐ ปูนแตกหักจำนวน 3 ชิ้น ขนาดไม่เกิน 3-5 นิ้ว และมีจดหมายระบุเป็นภาษาอังกฤษ มีใจความแปลได้ว่า “ขอความกรุณานำสิ่งของ 3 ชิ้นนี้ ส่งคืนบริเวณวัดใดวัดหนึ่งในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาด้วยครับ เพราะคนเอาไปอยู่ไม่เป็นสุข ฝากส่งคืนเจ้าของ ขอบคุณด้วย” โดยทางสำนักงานการท่องเที่ยวไม่ขอระบุชื่อผู้ส่ง

นายภาณุพงศ์ แพ่งกุล เจ้าหน้าที่สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พระนครศรีอยุธยา เปิดเผยว่า ได้รับพัสดุจากทางสำนักงานใหญ่ ให้นำไปไว้ที่วัดมหาธาตุ ซึ่งเชื่อว่าเป็นอิฐและเศษซากที่อยู่บริเวณดังกล่าว ซึ่งที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นยุโรป หรือเอเชีย ชอบที่จะลองของ นำเศษก้องอิฐเก่า หรือสิ่งของต่างๆที่อยู่ในเขตโบราณสถานติดตัวกลับไป บางคนก็คิดว่าจะไปเป็นเครื่องรางของขลัง หรือของที่ระลึก แต่เมื่อนำกลับไปแล้ว ก็จะมีเรื่องราวต่างๆนานา เหมือนมีคนไปตามทวงคืน จนต้องส่งพัสดุคืนมายังสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ที่พระนครศรีอยุธยาอยู่หลายครั้ง บางคนก็เคยนำมาคืนด้วยตนเอง และไม่ยอมที่จะเล่าเหตุการณ์ บอกแต่เพียงว่าขอโทษที่นำติดตัวไป และจะไม่หยิบอะไรในเขตโบราณสถานอีกแล้ว

ขอบคุณภาพและข้อมูล จากเพจ อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา









