บช.ปส. ส่งมอบกัญชาของกลาง 100 กก. ให้องค์การเภสัชฯ วิจัยทางการแพทย์

กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด(บช.ปส) ได้ส่งมอบกัญชาของกลางจำนวน 100 กิโลกรัม ให้องค์การเภสัชกรรม(อภ.) เพื่อนำไปศึกษาวิจัยทางการแพทย์

วันนี้ (25ก.ย.61) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายแพทย์ โสภณ เมฆธน ประธานกรรมการองค์การเภสัชกรรม เป็นประธานรับมอบกัญชาของกลางจำนวน 100 กิโลกรัม จากกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) ที่ส่งมอบให้กับองค์การอาหารและยาเพื่อส่งให้องค์การเภสัชกรรมนำไปศึกษาวิจัยทางการแพทย์ โดยการส่งมอบครั้งนี้เป็นครั้งแรก ที่บช.ปส.ได้ส่งมอบนอกรอบเวลาปกติ ก่อนการนำกัญชาของกลางจะถูกนำไปเผาทำลายปีละครั้ง

นายแพทย์โสภณ เปิดเผยว่าของกลางที่ได้รับมอบในครั้งนี้ องค์การเภสัชกรรมได้ประสานขออนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาและกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด โดยทีมวิจัยได้ไปเลือกคุณภาพของกลางที่ลักลอบนำเข้าจากต่างประเทศ เป็นพันธุ์พื้นเมือง ยึดมาได้ไม่นานจึงยังคงมีคุณภาพดี

นายแพทย์ โสภณ เมฆธน ประธานกรรมการองค์การเภสัชกรรม

โดยกัญชาทั้งหมดจะมีการตรวจศูนย์สิ่งเปื้อนก่อนนำไปศึกษาวิจัยด้วยมาตรฐานเทคโนโลยีสารสกัดและพัฒนาสูตรตำรับ เพื่อให้ได้สารสกัดต้นแบบกัญชาทางการแพทย์ ในรูปแบบน้ำมันกัญชาชนิดหยดใต้ลิ้น ที่พร้อมจะนำไปศึกษาในผู้ป่วย เมื่อพรบ.ยาเสพติดได้แก้ไขให้สามารถใช้รักษาผู้ป่วยได้

ซึ่งการที่องค์การเภสัชกรรมได้รับกัญชาที่มีคุณภาพและคุณสมบัติที่แตกต่างกัน จะทำให้สามารถทราบถึงความแตกต่างของคุณสมบัติกัญชาแต่ละชนิด ว่าชนิดใดจะมีคุณภาพและลักษณะคุณสมบัติที่เหมาะสมต่อการนำมาวิจัยเพื่อใช้ทางการแพทย์หรือต้องมีการพัฒนากระบวนการสกัดกัญชาแต่ละชนิดอย่างไร โดยคาดว่าประมาณเดือนธันวาคม 2561 จะทราบผลขั้นต้นว่าจะมีแนวทางอย่างไร ในการวิจัยและพัฒนารวมถึงวางระบบบริหารจัดการในการนำกัญชาของกลางมาสกัด เพื่อนำมาให้ผลิตในปริมาณมากขึ้น เพื่อใช้ในการรักษาผู้ป่วยที่ภายใต้โครงการศึกษาวิจัยด้านหรือการทดสอบในคนต่อไปได้หรือไม่และคาดว่าภายในเดือนพฤษภาคม 2562 จะสามารถสกัดสารจากกัญชาสำหรับพร้อมใช้ทางการแพทย์ ซึ่งจะสอดคล้องกับระยะเวลาของกฎหมายที่จะบังคับใช้

อย่างไรก็ตาม กัญชาของกลาง 100 กิโลกรัมนี้ คาดว่าจะสามารถสกัดกัญชาเข้มข้นได้ประมาณ 10 -15 ลิตร หรือ ประมาณ 18,000 ขวด ขวดละประมาณ 5 ซีซี แต่ทั้งนี้งานวิจัยจะใช้ในการศึกษาเท่านั้นก่อน เพราะต้องรอให้แก้ไข พ.ร.บ. ยาเสพติดก่อน ถึงจะสามารถใช้รักษาผู้ป่วยได้