
อธิบดีกรมบัญชีกลาง ให้ข้อมูล พร้อมจ่ายเงินช่วยเหลือค่าเช่าบ้านผู้สูงอายุผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 12 ธ.ค. 61
วันที่ 11 ธ.ค. 61 กรมบัญชีกลางพร้อมจ่ายเงินตามมาตรการช่วยเหลือค่าเช่าบ้าน สำหรับผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย ที่มีอายุครบ 60 ปีขึ้นไป และเช่าที่อยู่อาศัย รวมทั้งผู้สูงอายุที่ไม่มีที่อยู่อาศัย เริ่มจ่าย 12 ธ.ค. 61 เป็นเดือนแรก โดยย้ำว่าเงินในกระเป๋า e-Money ไม่จำกัดเวลาในการใช้จ่าย และไม่มีการดึงเงินกลับในช่วงปลายเดือน
นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า หลังจากคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยเพิ่มเติมผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2561 จำนวน 4 มาตรการ ประกอบด้วย 1) มาตรการบรรเทาภาระค่าไฟฟ้าและค่าน้ำประปา 2) มาตรการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในช่วงปลายปีให้แก่ผู้มีรายได้น้อย 3) มาตรการช่วยเหลือค่าเดินทางไปรับการรักษาพยาบาลและค่าใช้จ่ายอื่นเกี่ยวกับสุขภาพ สำหรับผู้มีสิทธิที่มีอายุครบ 65 ปีขึ้นไป และ 4) มาตรการช่วยเหลือค่าเช่าบ้าน สำหรับผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยที่มีอายุครบ 60 ปีขึ้นไป ซึ่งมีภาระค่าเช่าบ้านและไม่มีที่อยู่อาศัย (ตามข้อมูลการลงทะเบียนของผู้มีรายได้น้อย)
กรมบัญชีกลางได้จ่ายเงินตามมาตรการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในช่วงปลายปีให้แก่ผู้มีรายได้น้อย จำนวน 500 บาทต่อคน เข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money) ให้กับผู้ที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เมื่อวันที่ 8 – 10 ธันวาคม 2561 จำนวน 11.3 ล้านคนเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเป็นเงินทั้งสิ้น 5.6 พันล้านบาท โดย ณ วันที่ 10 ธันวาคม 2561 ผู้ที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐได้กดเป็นเงินสดมาใช้ จำนวน 4.6 ล้านคน เป็นเงิน 2,300 ล้านบาท และนำบัตรไปใช้ซื้อสินค้า จำนวน 8.5 แสนคน เป็นเงิน 425 ล้านบาท รวมเป็นเงินประมาณ 2,725 ล้านบาท
สำหรับมาตรการต่อไปที่กรมบัญชีกลางจะจ่ายเงิน คือ มาตรการช่วยเหลือค่าเช่าบ้านสำหรับผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยที่มีอายุครบ 60 ปีขึ้นไป ระหว่างเดือนธันวาคม 2561 จนถึงเดือนกันยายน 2562 ซึ่งมีภาระค่าเช่าบ้าน และไม่มีที่อยู่อาศัย (ตามข้อมูลการลงทะเบียนของผู้มีรายได้น้อย) จะได้รับเงินช่วยเหลือ จำนวน 400 บาทต่อคน ต่อเดือน
โดยกรมบัญชีกลางจะเริ่มจ่ายเงินช่วยเหลือค่าเช่าบ้านตามมาตรการนี้ ให้กับผู้มีสิทธิที่ครบตามเงื่อนไข ในวันที่ 12 ธันวาคม 2561 เป็นเดือนแรก มีจำนวน 187,384 ราย ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money) เป็นเงินประมาณ 75 ล้านบาท

อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวย้ำในตอนท้ายว่า การโอนเงินเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money) ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้แก่ผู้มีสิทธิ จะไม่จำกัดเวลาในการใช้จ่าย และไม่มีการดึงเงินกลับในช่วงปลายเดือน ซึ่งจะแตกต่างจากวงเงินสวัสดิการในการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคเดือนละ 200 / 300 บาท หรือค่าเดินทาง 500 บาท ซึ่งต้องใช้ภายในเดือน
ดังนั้น ผู้มีสิทธิไม่จำเป็นต้องรีบถอนเงินทันที โดยผู้มีสิทธิสามารถเลือกที่จะใช้จ่ายเงินดังกล่าวในการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่ร้านธงฟ้าประชารัฐ หรือร้านค้าเอกชนอื่นที่รับชำระเงินด้วยบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และมีสิทธิได้รับเงินชดเชยภาษีมูลค่าเพิ่มคืน เพื่อนำไปใช้จ่ายต่อไปได้
ที่สำคัญ ขอให้ผู้ที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ อย่าหลงเชื่อมิจฉาชีพที่แอบอ้างว่าการถอนเงินสดออกมาจากตู้ ATM เป็นเรื่องยุ่งยาก และจะช่วยถอนเงินสดให้โดยคิดค่าบริการเป็นรายคน เพราะผู้มีสิทธิสามารถถอนเงินได้ด้วยตนเอง เพียงไม่กี่ขั้นตอนเท่านั้น
หากพบเห็นมิจฉาชีพที่ฉวยโอกาสกับเรื่องนี้ สามารถแจ้งข้อมูลได้ที่ สำนักงานคลังจังหวัดทุกจังหวัด หรือติดต่อแจ้งเข้ามาที่ Call Center บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หมายเลขโทรศัพท์ 02-109-2345 หรือ Call Center กรมบัญชีกลาง 02-270-6400 ซึ่งจะดำเนินการตามที่กฎหมายกำหนดต่อไป
ข้อมูลจาก ข่าวกรมบัญชีกลาง









