
ผมพบกับขงเต๋อเผิง ชายหนุ่มชาวจีนวัยสามสิบเอ็ด พร้อมกับลังไม้ของเขาที่สนามบิน เขาพยายามขอความช่วยเหลือเพื่อเดินทางไปยังแลนด์มาร์กแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ เป็นความบังเอิญที่ผมจะผ่านไปแถวนั้นพอดี จึงช่วยเหลือเขาเพื่อให้เดินทางราบรื่น และกลายเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมรู้จักกับประติมากรน้ำตาล ผู้มีฝีมือดีคนหนึ่งของเอเชีย เขาสามารถแปรรูปน้ำตาลให้เป็นตัวสัตว์ต่างๆ ได้อย่างน่าทึ่ง เพียงใช้ลมจากปากค่อยๆพ่นออกไปเบาๆ สามารถแปลงกายก้อนน้ำตาลร้อนจนเป็นรูปทรงอื่น สำหรับเด็กๆมันคืออมยิ้มที่ช่วยสร้างจินตนาการ เขยื้อนรอยหยักในสมองให้โลดแล่น แม้จะเป็นขนมชิ้นเล็กๆ แต่สร้างสิ่งที่น่าจดจำไม่รู้ลืม จนเด็กบางคนแทบไม่กล้าใช้ลิ้นแตะมัน
เมื่อผมพาไปยังห้างสรรพสินค้าใหญ่แห่งหนึ่ง เขาเดินไปติดต่อกับเจ้าหน้าที่ของห้างที่เตรียมบูธไว้ให้ออกทำการโชว์ฝีมือ เขาเปิดลังไม้ลังออก ภายในลังมีเครื่องมือและอุปกรณ์ทำขนม เขานำถ่านไม้ก้อนเล็กแหย่ใส่เตาไฟ จุดด้วยไม้ขีด ไฟค่อยๆ ลุกบนก้อนถ่าน เพื่อให้น้ำตาลในถาดทองเหลืองร้อนขึ้น รอจนน้ำตาลร้อนได้ที่ ค่อยๆเคี่ยวน้ำตาลในกะทะไม่ให้ไหม้ จึงหยิบก้อนน้ำตาลจากกะทะ ปั้นเป็นก้อนกลมๆคล้ายลูกหิน เป่าลมให้พองตัวขึ้น ค่อยๆดึงน้ำตาลให้เป็นรูปทรง เลี้ยงลมช้าๆจนน้ำตาลพองทีละนิด กระทั่งกลายเป็นนักกษัตร จากนั้นแต่งเติมด้วยสีให้ผลงานออกมาสมบูรณ์

ขง เต๋อ เผิง
ประติมากรน้ำตาลเล่าว่า เขาจะเดินทางไปยังหมู่บ้านหรือชุมชนต่างๆ ในประเทศจีน เพื่อทำการขายขนม และอวดสิ่งประดิษฐ์จากน้ำตาลให้เด็กๆ ดู มีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ให้ความสนใจมาก เพราะเป็นวิธีการแบบโบราณ
จุดขายของขงเต๋อเผิง คือการใช้ปากเป่าน้ำตาล ไม่ใช้เครื่องสูบลมเหมือนกับนักปั้นสมัยใหม่ ซึ่งจะควบคุมลมได้ดีกว่า การเป่าน้ำตาลต้องค่อยๆ เลี้ยงลมเข้าไปในก้อนน้ำตาล ให้น้ำตาลขยายตัวจนโป่งพอง หากสูบด้วยความแรง น้ำตาลจะแตกออก คล้ายลูกโป่งแตก จะเสียทันที การเลี้ยงลมด้วยปากจึงมีความสำคัญมาก การฝึกฝนค่อนข้างยากเพราะน้ำตาลมีความร้อน และหากดึงน้ำตาลไม่เป็นจะไม่เป็นรูปทรง จึงไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่ใครจะฝึกได้ประสบผลสำเร็จในเร็ววัน
ผมพยายามขอเรียนรู้การเป่าน้ำตาลจากเขาอยู่หลายวัน แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ วิชานี้ไม่ง่าย เพราะต้องมือพองจากการหยิบจับน้ำตาลร้อนๆ การเป็นประติมากรน้ำตาล ไม่ใช่ว่าใครก็เป็นได้ ที่สำคัญต้องเล่าเรื่องราวผ่านน้ำตาล จนทำให้เด็กเกิดจินตนาการอันพุ่งพล่าน














