“ในประเทศที่ห้ามมีคำถาม ข่าวลือมักถูกสังคมมองว่าเป็นคำตอบ” ประโยคนี้น่าจะอธิบายบรรยากาศในโลกออนไลน์จีนตอนนี้ได้ชัดที่สุด เมื่อการเสียชีวิตของดาราดัง ‘อวี๋เมิ่งหลง’ เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2568 ถูกหยิบมาพูดถึงอีกระลอกและกลายเป็นไวรัล ทั้งที่ครอบครัวและตำรวจยืนยันแล้วว่าเป็นอุบัติเหตุ และดำเนินคดีกับผู้ที่กุข่าวและเผยแพร่ข่าวลือแล้ว แต่ชาวเน็ตจีนจำนวนไม่น้อยยังเอนเอียงไปทางเรื่องเล่าที่ ‘ไร้หลักฐานยืนยัน’
หลายคนอาจมองว่านี่คือภาพคุ้นตาในประเทศที่คุมสื่อเข้มอย่างจีน แต่ความจริงแล้ว สถานการณ์เช่นนี้สามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ที่ ‘พื้นที่การตั้งคำถามถูกจำกัด’ ไม่เฉพาะในจีน หากรวมถึงอีกหลายประเทศที่สื่อและโซเชียลมีเดียอยู่ภายใต้การกำกับเข้มงวด TODAY ชวนสำรวจปรากฏการณ์นี้ไปพร้อมกัน และหาคำตอบว่า “ทำไมข่าวลือถึงมาก่อน และบางครั้งกลับถูกเชื่อมากกว่าข่าวจริง?”
บทเรียนจาก ‘อวี๋เมิ่งหลง’ เมื่อเรื่องเล่าไปไกลกว่าข้อเท็จจริง
คืนวันที่ 11 กันยายน 2568 อวี๋เมิ่งหลง นักแสดงจีนวัย 37 ปี พลัดตกจากอาคารในย่านเฉาหยาง กรุงปักกิ่ง หลังเกิดเหตุมีการส่งเจ้าหน้าไปตรวจสอบในพื้นที่ เก็บพยานหลักฐาน และตรวจภาพจากกล้องวงจรปิด ก่อนที่ตำรวจและครอบครัวของอวี๋เมิ่งหลง จะออกมายืนยันว่าเป็นอุบัติเหตุหลังดื่มแอลกอฮอล์ และไม่พบพฤติการณ์อาชญากรรม พร้อมขอให้สังคมหยุดส่งต่อข่าวลือและเคารพความเป็นส่วนตัวของครอบครัว
แต่ในสายตาของแฟนคลับและชาวเน็ตจีนจำนวนหนึ่ง รายละเอียดที่ทางการเปิดเผยในช่วงแรกยังมีจำกัด เปิดทางให้ผู้คนจินตนาการและตั้งข้อสันนิษฐาน เรื่องเล่าที่ขัดกับข้อมูลทางการจึงแพร่กระจายบนโซเชียลอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่สมมติฐานว่า “มีการจัดฉาก หรือ “มีคนอยู่เบื้องหลัง” ไปจนถึงข้อกล่าวหาว่า “พยายามปิดบังหลักฐาน” หรือแม้แต่ “ถูกทำร้ายร่างกายก่อนเกิดเหตุ”
เนื้อหาเหล่านี้มาในรูปแคปชันเร้าอารมณ์ เข้าใจง่าย แชร์ง่าย จึงแพร่ไวกว่าคำชี้แจงทางการ
แม้ว่าแม่ของอวี๋เมิ่งหลงจะออกจดหมายเปิดผนึกขอให้ “หยุดคาดเดา” และมีการแถลงจากตำรวจว่า ได้ดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้อง 3 ราย ฐานกุข่าวและเผยแพร่ข่าวลือ โดยทั้งหมดรับสารภาพ แต่ความเคลื่อนไหวเหล่านี้ก็ไม่ได้ทำให้กระแสในโลกออนไลน์เบาบางลง ในขณะที่ผู้ใช้บางส่วนเริ่มออกมาระบุว่า มีโพสต์ถูกลบหรือจำกัดการมองเห็น ซึ่งยิ่งกระตุ้นให้มีการตีความว่า “ต้องมีบางอย่างถูกปิดบัง”
ทำไมข่าวลือถึงถูกมองเป็น ‘คำตอบ’
ไวรัลนี้ทำให้การเสียชีวิตของอวี๋เมิ่งหลง ไม่ได้ถูกมองแค่เป็นการสูญเสียคนดัง แต่สะท้อนภาพโครงสร้างการไหลเวียนข้อมูลที่ไม่สมดุลในสังคมจีน เมื่อผู้คนเกิดความรู้สึกถูกปิดกั้น ‘ข่าวลือ’ ซึ่งสั้น เร้าอารมณ์ และชวนเชื่อได้ทันที จึงแพร่กระจายไปไวกว่าข้อเท็จจริงที่สื่อสารอย่างเป็นทางการหรือต้องผ่านการตรวจสอบ
โดยเฉพาะเมื่อพื้นที่ตั้งคำถามถูกจำกัด ความเร็วจึงกลายเป็นข้อได้เปรียบสำคัญของข่าวลือ ข้อมูลทางการที่ออกมาล่าช้า ไม่ครบถ้วน หรือแข็งทื่อ ทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยหันไปเชื่อคำอธิบายที่สั้น ตรง และ ดูสมเหตุสมผลในอารมณ์ แม้ไร้หลักฐานรองรับ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อข้อเท็จจริงตามไม่ทันเรื่องเล่าแพร่กระจายไปก่อนแล้ว และยังมีลบโพสต์โดยไม่อธิบาย ก็ยิ่งทำให้บางคนเชื่อว่านั่นคือ “หลักฐานที่ถูกปกปิด” ไปโดยปริยาย
ผลลัพธ์คือ ข่าวลือไม่ใช่แค่เสียงกระซิบข้างทาง แต่ถูกยกสถานะขึ้นมาเป็น ‘คำตอบหลัก’ ในสายตาสังคมบางส่วน เพราะเมื่อการถกเถียงอย่างโปร่งใสไม่ถูกอนุญาต ความเงียบจากเจ้าหน้าที่หรือข้อจำกัดของแพลตฟอร์มมักถูกตีความว่าเป็นหลักฐานยืนยันในตัวเอง
ความเงียบที่ทำให้สงสัย เปิดช่องว่างให้ข้อมูลถูกแต่งเติม
สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลจากสองเงื่อนไขที่ทำงานร่วมกันจนข่าวลือมีพลังเหนือข้อเท็จจริง
เงื่อนไขแรกคือ ความเงียบที่ถูกบังคับ เมื่อผู้คนรู้สึกว่าความเห็นของตนอาจเป็นเสียงส่วนน้อย หรือเสี่ยงถูกโดดเดี่ยวและลงโทษ พวกเขามักเลือกเงียบ ความเงียบนี้กลับทำให้เสียงที่ดังอยู่แล้วในสื่อยิ่งดังขึ้น จนถูกเข้าใจผิดว่าเป็นเสียงส่วนใหญ่ ทั้งที่อาจไม่ใช่จริง
อีกเงื่อนไขคือ ช่องว่างของข้อมูล เมื่อการสื่อสารจากทางการล่าช้า ไม่โปร่งใส หรือถูกจำกัด พื้นที่ว่างจะถูกแทนที่ทันทีด้วยข่าวลือและการคาดเดาที่แพร่ไวกว่า โดยเฉพาะบนแพลตฟอร์มสั้น เร้าอารมณ์ และแชร์ง่ายอย่าง Weibo หรือ Douyin
เมื่อ ‘ความเงียบ’ มาบรรจบกับ ‘ช่องว่างข้อมูล’จึงกลายเป็น ‘สูตรสำเร็จของข่าวลือ’ ความเงียบทำให้ผู้คนเชื่อว่ามีบางอย่างถูกปิดบัง ขณะที่ช่องว่างข้อมูลก็เปิดทางให้เรื่องเล่าที่ไร้หลักฐานเข้ามาแทนที่
สิ่งนี้สอดคล้องกับทฤษฎีการสื่อสาร Spiral of Silence ของ Elisabeth Noelle-Neumann ที่ชี้ว่า เมื่อผู้คนรู้สึกว่าตนเป็นเสียงส่วนน้อยและกลัวการถูกโดดเดี่ยว มักเลือกเงียบ ส่งผลให้เสียงข้างมากในสื่อดังขึ้นจนถูกเข้าใจว่าเป็นฉันทามติ ทั้งที่อาจไม่จริง ขณะเดียวกัน แนวคิด Information Vacuum หรือ ‘สุญญากาศข้อมูล’ ก็ชี้ว่า เมื่อรัฐหรือแพลตฟอร์มจำกัดการเข้าถึง หรือปล่อยข้อมูลล่าช้า พื้นที่ว่างนั้นจะถูกแทนที่ด้วยข่าวลือทันที
สิ่งที่เกิดขึ้นในจีนไม่ใช่ข้อยกเว้น เพราะแม้แต่ในประเทศที่เรียกตัวเองว่า “โลกเสรี” ปรากฏการณ์นี้ก็ยังเกิดขึ้นได้ เพียงเปลี่ยนจากการปิดกั้นโดยรัฐ ไปสู่แรงกดดันของอัลกอริทึม กระแสสื่อ หรือการคุมวาทกรรมโดยเสียงส่วนใหญ่ในสังคมเช่นกัน










