เครียดจัด-แข่งขันสูง
อีกด้านของโลกวิชาการจีน
นักวิชาการรุ่นใหม่จบชีวิตพุ่ง
ปัญหาที่กำลังซุกอยู่ใต้พรม ภายใต้ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของจีน คืออัตราการเสียชีวิตของนักวิจัยรุ่นใหม่ที่เพิ่มสูงขึ้น โดยที่บางคนเป็นถึงนักวิทยาศาสตร์ระดับแนวหน้า เป็นที่ยอมรับและมีผลงานโดดเด่นด้วย
การเสียชีวิตเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เกิดจากความเครียดสะสม ทั้งจากแรงกดดันให้ผลงานตัวเองประสบความสำเร็จ โลกวิชาการในจีนที่แข่งขันกันอย่างดุเดือดท่ามกลางข้อจำกัด หรือแม้กระทั่งปัญหาส่วนตัว
นี่เป็นโลกสีหม่นของแวดวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่เบื้องหน้าแสนตื่นตาตื่นใจ แต่เบื้องหลังกลับเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
หมายเหตุ บทความนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับการฆ่าตัวตาย

[สถิติน่าตกใจ นักวิจัยรุ่นใหม่ในจีน จบชีวิตตัวเอง]
หนังสือพิมพ์ South China Morning Post (SCMP) สื่อภาษาอังกฤษในฮ่องกง ตีพิมพ์บทความที่พูดถึงการเสียชีวิตของนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ในประเทศจีน ที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นจนน่าตกใจ โดยอ้างถึงงานวิจัยชิ้นหนึ่ง ที่เพิ่งเผยแพร่เมื่อเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา
งานวิจัยชิ้นนี้จัดทำร่วมกันโดย Cary Wu นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยยอร์ก ประเทศแคนาดา และนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีปักกิ่ง ประเทศจีน
งานวิจัยชิ้นนี้วิเคราะห์เหตุการฆ่าตัวตายของนักศึกษาระดับปริญญาโท และนักวิชาการชาวจีนจำนวน 143 คน โดยในจำนวนนี้ 130 คน เป็นเหตุที่เกิดขึ้นในจีน และส่วนใหญ่เกิดในสถาบันการศึกษาชั้นนำของประเทศ
ผลการวิเคราะห์พบว่า เหตุส่วนใหญ่เกิดขึ้นกับนักวิจัยชายวัยหนุ่ม ในโครงการวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมชั้นนำ โดยเชื่อว่าสาเหตุมาจากแรงกดดันมากถึง 65% ของเหตุทั้งหมด
[แม้แต่นักวิทยาศาสตร์ชั้นนำ ก็จบชีวิตต่อเนื่อง]
แต่เหตุการณ์เหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับนักวิจัยรุ่นใหม่เท่านั้น เพราะยังปรากฎกรณีที่เกิดกับนักวิทยาศาสตร์ที่มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ด้วย
รายงานของสื่อฮ่องกงยกตัวอย่างนักวิทยาศาสตร์ 3 คน ที่มีรายงานการเสียชีวิตในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ซึ่งแม้สาเหตุที่แท้จริงจะไม่ถูกประกาศอย่างเป็นทางการ แต่จากพฤติการณ์แวดล้อมทำให้เชื่อได้ว่า ความเครียดในโลกวิชาการอาจนำพาพวกเขาและเธอไปสู่ความตาย
ตัวอย่างแรกเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 4 ส.ค.ที่ผ่านมา Du Dongdong นักวิทยาศาสตร์ประจำวิทยาลัยวิศวกรรมระบบชีวภาพและวิทยาศาสตร์อาหาร แห่งมหาวิทยาลัยเจ้อเจียงของจีนวัย 35 ปี เสียชีวิตหลังจากตกลงมาจากอาคารแห่งหนึ่งในมหาวิทยาลัย
Du Dongdong เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีโปรไฟล์ไม่ธรรมดา เขาทำงานวิจัยหลากหลาย โฟกัสไปที่อุปกรณ์เพาะปลูกผักและผลไม้ การพัฒนาหุ่นยนต์ด้านการเกษตร และการเลียนแบบทางชีวภาพ
ผู้เสียชีวิตอีกรายที่เป็นตัวอย่างได้ดี เกิดขึ้นเมื่อเดือน ส.ค. เช่นกัน โดยเป็นเหตุที่เกิดกับ Huang Kai รองศาสตราจารย์อายุ 41 ปี ประจำสถาบันเทคโนโลยีกวางตุ้ง-อิสราเอล ในมณฑลกวางตุ้งของจีน ประสบเหตุตกตึกเสียชีวิต
เขาเป็นนักเคมีอนาคตไกล ศึกษาระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง ก่อนจะไปเรียนต่อที่ประเทศแคนาดา โดยมีที่ปรึกษาเป็นนักเคมีเจ้าของรางวัลโนเบล ก่อนที่เขาจะกลับมาทำงานที่จีน เขาเคยประจำในสถาบันชั้นนำในแคนาดาและเยอรมนีมาก่อน
แม้ในกรณีนี้ จะมีข้อสังเกตว่า การเสียชีวิตของเขาจะเกิดขึ้นเพียง 1 เดือนหลังแต่งงาน แต่กรณีนี้ย่อมสะท้อนความเครียดสะสมของนักวิทยาศาสตร์จีน ที่อาจจะมีทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวร่วมกันก็ได้
ส่วนอีกกรณีหนึ่ง เกิดกับ Dong Sijia ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำมหาวิทยาลัยนานจิง เสียชีวิตด้วยวัย 33 ปี
การเสียชีวิตของเธอถูกเปิดเผยในงานวิจัยที่เพิ่งตีพิมพ์ออกมาเมื่อเดือน มิ.ย. และไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการจากมหาวิทยาลัย โดยทางมหาวิทยาลัยเลือกจะเปลี่ยนหน้าโปรไฟล์ของเธอบนเว็บไซต์เป็นสีขาวดำเมื่อเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา
Dong Sijia เป็นนักวิจัยด้านทะเลน้ำลึก เธอมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ในระดับนานาชาติด้านเคมีทางทะเล มีผลงานตีพิมพ์ในวารสารวิชาการอเมริกา และเพิ่งได้รับคัดเลือกเป็นนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ดีเด่นในปีนี้ด้วย
นอกจากนักวิทยาศาสตร์ 3 คน ที่ปรากฎข้อมูลการเสียชีวิตในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาแล้ว สื่อฮ่องกงระบุว่า มีรายงานนักวิจัยและนักวิทยาศาสตร์อีกจำนวนหนึ่งที่เสียชีวิตทั้งจากอาการป่วย อุบัติเหตุ หรือแม้แต่การฆ่าตัวตาย โดยมีหลายคนเป็นนักวิทยาศาสตร์ AI จนทำให้ในสังคมจีนเริ่มตั้งคำถามถึงความเครียดที่พวกเขาเหล่านี้กำลังเผชิญอยู่

แฟ้มภาพซินหัว
[โลกสีเทาในแวดวงวิชาการจีน เครียดจัด แข่งขันสูง]
เรื่องนี้อาจเป็นดาบสองคมที่มาจากการเข้าถึงการศึกษาระดับสูง สถิติที่ถูกยกขึ้นมาเพื่ออธิบายเรื่องนี้ คือจำนวนผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกที่เพิ่มสูงขึ้นมาก จากเดิมที่อยู่ที่ 7,300 คนในปี 1997 เป็นกว่า 100,000 คนในปี 2019
แน่นอนว่า การที่พลเมืองเข้าถึงการศึกษาเป็นเรื่องดีในตัวเอง แต่อีกมุม นี่ทำให้เกิดการแข่งขันอย่างหนักในแวดวงวิชาการอย่างปฏิเสธไม่ได้ เพราะนักวิจัยก็ต้องถีบตัวด้วยงานวิจัยเพื่อให้ได้ตำแหน่งเหนือกว่านักวิจัยคนอื่นๆ ในสายงานใกล้เคียงกัน
งานวิจัยอีกชิ้นที่เผยแพร่โดยวารสาร China Science Daily เมื่อวันที่ 20 ส.ค. ที่ผ่านมา ศาสตราจารย์ You Xiaoli จากมหาวิทยาลัย Soochow ในไต้หวัน วิจารณ์สถาบันการศึกษาในจีน ที่ขาดการดูแลนักวิจัยรุ่นใหม่ในช่วงประเมินก่อนเข้ารับตำแหน่ง (pre-tenure) และมองช่วงเวลาดังกล่าวเป็นการแข่งขัน ทำให้เกิดความตึงเครียดหนักขึ้น
ขณะเดียวกัน เขายังวิจารณ์การตัดลดงบประมาณสนับสนุน แต่กลับต้องการผลงานให้ได้มากที่สุดจากนักวิจัยด้วย
รายงานของ SCMP อ้างนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยปักกิ่งคนหนึ่ง ที่ไม่ขอเปิดเผยชื่อ ระบุว่า แม้รูปแบบการประเมินทางวิชาการของจีน จะถอดแบบมาจากระบบการศึกษาของสหรัฐฯ แต่ถึงอย่างนั้นก็มีความแตกต่าง เพราะในจีนเกิดการแข่งขันระหว่างนักวิจัยรุ่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม Fan Xiudi ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยการประเมินเพื่อการศึกษา มหาวิทยาลัยถงจี้ในเซี่ยงไฮ้ ชี้ว่า จำนวนคนหนุ่มสาวที่เสียชีวิตมากขึ้นในสถาบันการศึกษา ยังมีมุมที่ต้องวิเคราะห์อีกมาก เช่น ความเชื่อมโยงไปยังอาการป่วย อุบัติเหตุ หรือปัญหาครอบครัว เพื่อให้การแก้ปัญหาตรงจุดมากขึ้น
แต่ถึงอย่างนั้น จากประสบการณ์ด้านการศึกษาเกือบ 40 ปี เธอยอมรับว่า ได้สังเกตเห็นภาวะตึงเครียดมากขึ้นของนักวิจัยรุ่นใหม่ ที่ต้องเผชิญกับแนวทางในการเติบโต แรงกดดันให้ผลงานวิชาการ และต้องได้รับรางวัล ด้วยความกลัวว่าจะถูกรั้งท้าย
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทางการจีนจะเดินหน้าสนับสนุนการสร้างนักวิจัยรุ่นใหม่ ขณะเดียวกันก็มีหน่วยงาน รวมถึงผู้เชี่ยวชาญพยายามเรียกร้องให้ระบบการศึกษาวิจัยของจีนยืดหยุ่น สร้างสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้น เอื้อต่อการสร้างนวัตกรรมและคิดค้นสิ่งใหม่ๆ ต่อไป










