คนไข้ชายวัย 46 ปี จ.นครศรีธรรมราช มีน้ำมูกคล้ายหนองไหลออกมาจากจมูกตลอดเวลา ญาติจึงนำตัวไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล แต่เมื่อแพทย์ตรวจอย่างละเอียดแล้วกลับพบเศษไม้ อยู่ในโพรงจมูกกว่า 40 ชิ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 14 เม.ย.62 นายแพทย์อารักษ์ วงศ์วรชาติ ผอ.รพ.สิชล อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช โพสต์เฟซบุ๊กชื่อ “Arak Wongworachat” ระบุข้อความว่า “เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผู้ป่วยชายอายุ 46 ปี ญาติพบว่าเมื่อเข้าใกล้จะมีกลิ่นเหม็นเน่า ลมหายใจกลิ่นแรงมาประมาณ 1เดือน คิดว่าเป็นโรคภูมิแพ้ หรือไซนัสอักเสบ จึงตัดสินใจพามาโรงพยาบาล แพทย์เวรตรวจพบว่าในจมูกมีหนองไหลจึงส่งปรึกษาหมอหู คอ จมูก ส่องกล้องเข้าไปดู พบมีไม้เสียบในรูจมูก จึงเซ็ทเข้าห้องผ่าตัด เพื่อดมยาสลบสิ่งที่เอาออกมาน่าตกใจมากครับ มีเศษไม้สั้นบ้างยาวบ้าง กว่า 40 ชิ้น มันเข้าไปอยู่ได้อย่างไร?”
จากนั้นปรากฏว่าหลังจากโพสต์เสร็จ ได้มีชาวโลกโซเซียลได้แห่กันวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา และโพสต์สอบถามว่าเศษไม้จำนวนมากมันเข้าไปติดโพรงจมูกของคนป่วยดังกล่าวได้อย่างไร เพราะถือว่าเป็นเรื่องแปลกมากๆ
เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามไปยัง นพ.อารักษ์ วงศ์วรชาติ ผอ.รพ.สิชล ได้กล่าวว่า เป็นคนไข้ที่เราเจอได้ไม่บ่อยที่มีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปอยู่ในร่างกาย โดยเฉพาะในโพรงจมูกเช่นรายนี้ ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ โดยปกติแล้วมักจะเจอในเด็กเล็กๆ 1–2 ขวบ เสียมากกว่า ที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ซึ่งสิ่งแปลกปลอมเมื่ออยู่ในร่างกายก็จะทำให้เกิดอาการติดเชื้อ ถ้ามันลงไปสู่หลอดลมหรือติดเชื้อนานจนเป็นหนอง เสี่ยงที่จะติดเชื้อในสมองได้ ที่ผ่านมามีบุคคลประเภทคนป่วยทางจิต ที่มีพฤติกรรมผิดปกติ มักเอาสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในร่างกาย เหมือนกรณีคนเคยกลืนตะปู ที่เคยเป็นข่าวมานานแล้วก็เช่นกัน กลืนไปเยอะแยะเลยเขาจะไม่มีอาการรู้สึกเจ็บปวดเลย
กรณีรายนี้ก็เช่นเดียวกัน ตอนมาที่ รพ.สิชล พบแพทย์ที่ห้องฉุกเฉิน และแพทย์สังเกตว่ามีสิ่งผิดปกติในโพรงจมูก ตรวจพบหนองไหลออกทางจมูก แต่ไม่เห็นว่ามีเศษไม้ เพราะผู้ป่วยไม่สามารถบอกได้ว่าเกิดอะไรขึ้น กระทั่งส่งแพทย์เฉพาะทาง หูคอจมูก แต่ผู้ป่วยก็ไม่ให้ความร่วมมือ จนต้องให้ผู้ป่วยอดอาหาร ให้น้ำเหลือและใช้วิธีการดมยาสลบ จากนั้นใช้กล้องส่องเข้าไปดูในโพรงจมูก พบว่ามีเศษไม้หลายขนาด จึงใช้อุปกรณ์คีบออกมาพบเศษไม้เยอะมากกว่า 40 ชิ้น จากนั้นแพทย์ทำการผ่าตัดรักษาจนหายเป็นปกติ
อย่างไรก็ตาม โรงพยาบาลไม่ขอเปิดเผยประวัติผู้ป่วยรายนี้ แต่อยากฝากญาติๆ ว่าหากพบว่ามีญาติคนไหน ที่มีความเสี่ยงที่กระทำเหมือนผู้ป่วยรายนี้ ให้พยายามสังเกตพฤติกรรม และให้ดูแลอย่าใกล้ชิด เพราะหากปล่อยไว้นานสิ่งแปลกปลอมอาจติดเชื้อรุนแรง และเสี่ยงที่จะเสียชีวิตได้
