
จากกรณีชาวบ้านจังหวัดยโสธรถูกแมงมุมแม่หม้ายสีน้ำตาลกัด แล้วชักใยในแผลมีอาการคลื่นไส้ หัวใจเต้นผิดจังหวะ หลังจากนั้นไปพบหาหมอพื้นบ้านแล้วหาย ด้านผู้เชี่ยวชาญด้านพิษแมงมุมยืนยันแมงมุมชักใยในแผลไม่ได้
หลังจากเกิดกรณีชายชาวยโสธรถูกแมงมุมกัด และบอกว่าแมงมุมตัวดังกล่าวชักใยในแผลจนมีอาการเวียนหัว วันนี้ (5 ก.ย. 61) ด้าน ดร.ณัฐพจน์ วาฤทธิ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้เชี่ยวชาญด้านแมงมุมและผึ้งระบุว่า แมงมุมในประเทศไทยที่มีพิษมีผลต่อร่างกายมนุษย์มี 3 ชนิดคือ แมงมุมแม่หม้ายสีน้ำตาล แมงมุมแม่หม้ายสีดำ และแมงมุมสันโดษเมดิเตอร์เรเนียน
https://youtube.com/watch?v=SsxoFBz4rY8
โดยหากเทียบเคียงพิษแมงมุมแม่หม้ายสีดำจะแรงกว่าสีน้ำตาล และมีฤทธ์ต่อระบบประสาท ทำให้มีอาการคลื่นไส้อาเจียน, หัวใจเต้นเร็ว, เหงื่อออกเยอะ และปวดที่แผลอย่างมาก ส่วนแมงมุมสันโดษเมดิเตอร์เรเนียน พิษมีผลต่อการกัดกินเนื้อเยื้อบริเวณแผลแต่พบได้น้อยมาก ส่วนที่พบว่ามีการชักใยที่แผล ในทางวิทยาศาสตร์ และพฤติกรรมของแมงมุมไม่มีทางเป็นไปได้ เนื่องจากแมงมุมจะชักใยต่อเมื่อ 2 กรณี คือ ทำรังดักอาหาร และชักใยเพื่อเคลื่อนย้ายอพยพเท่านั้น

ดร.ณัฐพจน์ วาฤทธิ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
สำหรับชาวยโสธรที่ถูกแมงมุมกัด คาดว่า เป็นแมงมุมแม่หม้ายสีน้ำตาล ซึ่งปกติพบในบ้านเรือนประชาชน ไร่ สวน ทั่วไป ซึ่งพิษของแมงมุมชนิดแม่หม้ายนั้นไม่ส่งผลอันตรายต่อชีวิต เว้นแต่ร่างกายคนนั้นจะมีภูมิกันที่อ่อนแอ แต่ยังไม่เคยพบประวัติผู้เสียชีวิตจากพิษแมงมุม โดยพิษแมงมุมแม่หม้ายจะออกฤทธิ์ในร่างกายมนุษย์ในช่วง 1-3 วันแรก และร่างกายจะขับพิษออกโดยธรรมชาติในระยะ 1-2 สัปดาห์
ส่วนการรักษารอยแมงมุมกัดจะเหมือนรอยเข็มเล็ก 2 รู ด้านผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ล้างแผลด้วนแอลกอฮอล์และรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจว่าร่างกายแพ้พิษหรือไม่ ส่วนน้ำมะนาวที่หมอชาวบ้านนำมาผสมกับรากไม้มาใช้ทาที่แผลนั้นไม่แนะนำเพราะอาจทำให้แผลสกปรก ส่วนน้ำมะนาวมีกรดซิตริกสามาถฆ่าเชื้อแบททีเรียได้แต่ไม่สามารถฆ่าพิษได้










