
พลังประชารัฐ ยืนยัน เสนอขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400-425 บาทต่อวันทำได้จริง เชื่อจะไม่กระทบผู้ประกอบการและนักลงทุน เพราะทำควบคู่กับการพัฒนาฝีมือแรงงาน พร้อมเผย พล.อ.ประยุทธ์ แคนดิเดตนายกฯ ของพรรค รับทราบนโยบายนี้แล้ว
นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวว่า ประเทศไทยถึงเวลาต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจโดยเฉพาะการยกระดับความสามารถของเศรษฐกิจไทยให้ก้าวทันความเปลี่ยนแปลงในโลก พรรคเสนอนโยบายที่จะขับเคลื่อนให้ประเทศไทยหลุดออกจากกับดักรายได้ปานกลาง ที่เสนอว่าค่าแรงขั้นต่ำจะอยู่ที่ 400 บาทถึง 425 บาท เงินเดือนวุฒิปริญญาตรี 20,000 บาทต่อเดือน วุฒิอาชีวะ 18,000 บาทต่อเดือน ที่ผ่านมา 20 ปี การปรับค่าแรงให้ทันกับค่าครองชีพไม่ค่อยเกิดขึ้น เรื่องพวกนี้เราจะดูแลให้เพิ่มขึ้นในอัตราที่เหมาะสมได้
“เพราะฉะนั้นไม่ได้พูดถึงการขับเคลื่อนเงินเฟ้อเลย เราเสนอว่า ให้ดูเป็นพื้นที่แล้วปรับให้เหมาะสม โดยในระยะการปฏิบัติเรามีมาตรการต่างๆ ในการเพิ่มทักษะแรงงาน อย่างไรตามจะไม่ให้กระทบกับการลงทุน แต่ระยะต่อไปหลังจากใช้นโยบายนี้ ตนเชื่อว่า จะเป็นสิ่งที่ดีสำหรับการลงทุนด้วยซ้ำไป เพราะเรามีแรงงานที่มีทักษะสูง เป็นแรงงานที่มีค่าตัวแพง ส่วนผู้ประกอบการเขาเห็นคุณค่าตรงนี้ทันที
ส่วนที่มีเสียงวิจารณ์ว่า นักลงทุนจากต่างประเทศ เห็นอย่างนี้แล้วจะไม่อยู่แล้วในประเทศไทยหรือไม่อยากมาลงทุน เป็นเรื่องจริงถ้าค่าแรงขึ้นแต่คนไม่มีทักษะที่เพิ่มขึ้นสอดรับกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลง ทางพรรคพลังประชารัฐ เชื่อว่า จะเป็นสิ่งที่ช่วยดึงดูดการลงทุนที่มีคุณภาพเข้าประเทศไทยด้วยซ้ำไป” นายอุตตม กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ได้หารือนโยบายนี้กับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช.ในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคพปชร.หรือไม่ จากที่มีสารนายกรัฐมนตรีออกมาเตือนพรรคการเมืองเรื่องการเสนอนโยบายต้องทำได้จริง นายอุตตม กล่าวว่า ได้แจ้งหารือกับพล.อ.ประยุทธ์ แล้ว ส่วนสารที่นั้น ตนเชื่อว่า เป็นการเตือนทุกพรรคไม่เฉพาะเจาะจง
ด้าน นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรคพปชร. กล่าวเสริมว่า นโยบายค่าแรงที่ถูกวิจารณ์ไม่ใช่ประชานิยม เพราะประชานิยมคือสิ่งที่เป็นแรงจูงใจในระยะสั้น แต่พรรคจะเปลี่ยนโครงสร้างการแข่งขันทั้งระบบ เพื่อยกระดับเอสเอ็มอี ยกระดับผู้ใช้แรงงาน และจะไม่ทำร้ายผู้ประกอบการ แต่จะเกิดประโยชน์ในช่วงเปลี่ยนผ่าน รวมทั้งจะไม่กระทบราคาสินค้าและส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อ

(แฟ้มภาพ)
สารจากนายกรัฐมนตรี 15 มีนาคม 2562
นายกรัฐมนตรีให้ความเห็นถึง การหาเสียงของทุกพรรคการเมือง กรณีการชูนโยบายว่า จะดำเนินการเรื่องใด ๆ ซึ่งจะตอ้งใช้งบประมาณรัฐจำนวนมาก บางเรื่องก็อาจกระทบต่อภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งภาคประชาชน ภาคธุรกิจ เอกชน รวมถึงภาครัฐ เช่น ด้านการศึกษา สวัสดิการ การขึ้นค่าแรง ฯลฯ
นายกรัฐมนตรี ขอยืนยันว่า ทุกรัฐบาลจะต้องดำเนินการภายใต้ระเบียบ วิธีการ กฎหมายด้านงบประมาณ การเงิน การคลัง และกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะทำได้มากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับรายได้ และสัดส่วนงบประมาณโดยรวมของรัฐ มีทางเดียวที่จะทำได้ตามที่หลายพรรคการเมืองหาเสียงกันไว้คือ รัฐต้องมีรายได้เพิ่มมากขึ้นจากการจัดเก็บภาษีทั้งทางตรง ทางอ้อม กำไรและรายได้ของรัฐวิสาหกิจ ค่าธรรมเนียมและรายได้อื่น ๆ เพิ่มจำนวน นักท่องเที่ยวมาไทยให้มากขึ้น และหากงบประมาณไม่เพียงพอก็ต้องกู้เงินซึ่งจะต้องคำนึงถึง หนี้สาธารณะที่จะเพิ่มขึ้นด้วย การขึ้นค่าแรงก็ต้องไม่กระทบต่อการลงทุน การย้ายฐานการผลิต การลงทุน ในขณะที่เรากำลังเร่งรัดการลงทุนในพื้นที่เศรษฐกิจต่างๆ เพื่อเพิ่มรายได้ของรัฐ เพิ่มงานเพิ่มอาชีพ และเพิ่มการดูแลสวัสดิการให้กับพี่น้องประชาชนคนไทย
นายกรัฐมนตรีขอยืนยันว่าหากเรายังหารายได้ให้รัฐมากขึ้นไม่เพียงพอ ก็จะไม่สามารถทำตามนโยบายที่หลาย พรรคการเมืองหาเสียงไว้ได้ ดังนั้น ในการเลือกตั้งครั้งนี้ ไม่ว่านายกรัฐมนตรี และรัฐบาลจะเป็นใครพรรคใด จะต้องมีธรรมาภิบาลในการบริหารราชการแผ่นดิน อันได้แก่หลักคุณธรรม ความโปร่งใส ความมีส่วน ร่วม ความรับผิดชอบ ความคุ้มค่า เราควรต้องได้นายกรัฐมนตรีแบบนี้ที่มีธรรมาภิบาล บริหาร ราชการอยู่ในกฎ ระเบียบ กติกา กฎหมาย การจะดำเนินโครงการ และงบประมาณ จะต้องชี้แจง ได้ว่าเราจะหางบประมาณมาจากไหน อยู่ในวินัยการเงินการคลังหรือไม่ รัฐบาลจะต้องดูแล ประชาชนทุกภาคส่วนอย่างทั่วถึงทั้งประเทศ
ขอบคุณภาพ FB : พลังประชารัฐ









