ร.ต.ท.หญิง โพสต์เฟซบุ๊ก ร้องให้คลินิกเสริมความงาม ใน จ.ลำปาง ออกมาขอโทษ หลังเข้าไปเลาะพังผืดจมูก แต่กลับมีรอยช้ำห้อเลือดรอบดวงตา ทำหน้าพัง ด้านคลินิกบอกปัดเลือดผิดปกติเอง
วันที่ 7 มิ.ย. 61 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ร.ต.ท.หญิง นงเยาว์ อาทิตยานนท์ ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ชื่อว่า Nongyao Athitayanon โดยระบุข้อความว่า “เมื่อท่านผู้รู้วินิจฉัยบอกเลือดดิฉันผิดปกติ “ด้วยคำพูดที่ฟันธง” …ผลออกมาแล้วค่ะว่า คุณลงมือหนักกับแผลเล็กน้อย..เลือดดิฉันปกติค่ะ..อย่าปฏิเสธอย่างเดียว หนีคนไข้ด้วยการรับโทรศัพท์..ฟังคนไข้บ้างนะคะเพราะผลกระทบต่อจิตใจมันสูงมาก..และถ้าใครเจอสถาพแบบนี้คงรับไม่ได้แบบดิฉันเช่นกันค่ะ..เจ็บตัว เสียเงินแพงและเสียความรู้สึกค่ะ ขอให้ดิฉันเป็นเคสสุดท้ายของคลินิกคุณนะคะ”
โดยหลังโพสต์ดังกล่าวเผยแพร่ออกไป ได้มีผู้ใช้เฟซบุ๊กเข้ามาแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก หลายข้อความมีการตำหนิคลินิกที่เป็นต้นเหตุในเรื่องดังกล่าวอย่างมากมายด้วยเช่นกัน ผู้สื่อข่าวจึงได้เดินทางไปพบกับเจ้าของเฟซบุ๊กดังกล่าว คือ ร.ต.ท.หญิง นงเยาว์ อาทิตยานนท์ เป็นอาจารย์สอนประจำอยู่ที่ ศูนย์ฝึกตำรวจภูธรภาค 5 ลำปาง ซึ่งพบว่า สภาพใบหน้าเริ่มดีขึ้นมาก จนเกือบจะหายเป็นปกติแล้ว
ร.ต.ท.หญิง นงเยาว์ เล่าว่า ได้เข้าใช้บริการที่คลินิกแห่งหนึ่ง กลางเมืองลำปาง ตั้งแต่ปลายเดือนพฤษภาคม ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นสถานรับเสริมความงามเอกชน ตั้งอยู่ถนนท่าคราวน้อย ต.สบตุ๋ย อ.เมือง จ.ลำปาง โดยครั้งแรกคิดว่าจะไปเสริมจมูก แต่เมื่อเข้าพบว่าทางคลินิกไม่ได้มีการวัดความดัน หรือตรวจผลเลือดก่อน จึงเกิดความลังเลและเปลี่ยนใจไม่ทำ
ทางคลินิก จึงแจ้งว่า ไม่ต้องทำจมูกก็ได้ แต่จะเลาะพังผืดที่ดั้งจมูกออกให้แทนเพื่อให้ได้รูป หลังจากทำเสร็จแล้วผ่านไปแค่สองวัน ปรากฏว่ารอบดั้งจมูกขึ้นไปถึงขอบตาทั้งสองข้างเริ่มมีอาการคล้ำห้อเลือด ก่อนจะลุกลามไปทั่วใบหน้า ทำให้ตัวเองเกิดความวิตก จึงกลับไปปรึกษากับคลินิกที่ทำ ก็ได้รับคำตอบว่า เลือดผิดปกติ โดยทางคลินิกไม่ได้ให้ความสนใจ หรือแนะนำการรักษากับคนไข้ ซึ่งทำให้คาใจและกังวลมาก จึงรีบไปเจาะเลือดตรวจหาผลความผิดปกติของเลือด และผลยืนยันว่าเลือดของตนเองปกติ จึงตัดสินใจนำผลตรวจเลือด และสภาพใบหน้าโพสต์ขึ้นเฟซบุ๊กดังกล่าว
โดย ร.ต.ท.หญิง นงเยาว์ ยังบอกอีกว่า ตนต้องหมดเงินไปกับการรักษาเพื่อให้สภาพใบหน้ากลับคืนมาเช่นเดิม โดยตลอดกว่า 10 วันที่ผ่านมา ได้สอบถามความรับผิดชอบไปทางคลินิก ก็ได้รับคำยืนยันว่าเป็นความผิดปกติของเลือดตนอย่างเดียว
