ช่วงใกล้วันเลือกตั้ง ในขณะที่ผู้คนในสังคมให้ความสนใจกับ “ข่าวสารทางการเมือง” อย่างใกล้ชิด พร้อมกับการแสดงความคิดเห็นในสื่อสังคมออนไลน์อย่างไร้ขีดจำกัด ทำให้เกิดข้อห่วงใยทางด้านสุขภาพจิต ที่ไม่เพียงแต่ส่งผลต่อบุคคลนั้นโดยตรง แต่การใช้ถ้อยคำที่รุนแรงทางการเมืองที่ขัดแย้ง ยังนำไปสู่วังวน “ประชาธิปไตย” ที่ยังไม่ก้าวพ้นของสังคมไทยมาหลายสิบปี
นายแพทย์ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ ที่ปรึกษากรมสุขภาพจิต ให้คำอธิบายเกี่ยวกับการใช้ถ้อยคำรุนแรงในสื่อสังคมออนไลน์ ว่า แบ่งได้ 2 แบบ คือ hate speech และ blame speech ความแตกต่างของ 2 คำนี้พูดอย่างง่ายคือ hate speech เป็นการใช้ถ้อยคำกระทบกระเทียบเปรียบเปรย ด่าท้อ ดูถูกเหยียดหยามกันอย่างรุนแรงในประเด็นทางสังคม ซึ่งเรื่องการเมืองก็จัดอยู่ในกลุ่มนี้ ส่วน blame speech ก็คือการใช้ถ้อยคำรุนแรงกับเรื่องส่วนตัว เช่น ความสัมพันธ์ของดาราศิลปินบุคคลมีชื่อเสียง แต่ทั้งสองประเภทนี้ นำไปสู่ความขัดแย้งทางสังคมได้!
การใช้ Hate Speech จะนำไปสู่ความรุนแรงในสังคม ในอดีตเรามีประวัติศาสตร์เรื่องการใช้ Hate Speech จนนำไปสู่ความรุนแรงทางสังคมมากมาย ที่จะกระทบสุขภาพจิตของคนที่กระทบกระทั่งกันและส่งผลต่อสังคมด้วย
“ถ้าเราจะทำให้บรรยากาศของสังคมไทยเดินต่อไปข้างหน้าได้ด้วยดี ไม่ต้องวนกลับมามีปัญหา ความขัดแย้งทางการเมืองที่รุนแรงต้องเว้นวรรคประชาธิปไตย น่าจะช่วยกันให้ความคิดเห็นทางการเมืองที่แตกต่างเป็นเรื่องสร้างสรรค์ไม่ใช่ความถูกผิด ความดีเลว”
นพ.ยงยุทธ บอกว่า Hate Speech หยุดยั้งไม่ยากถ้าทุกคนช่วยกัน ด้วยการใช้หลัก “2 ไม่ 1 เตือน” คือ
“ไม่” สื่อสารข้อความรุนแรง
“ไม่” ส่งต่อความรุนแรง
“เตือน” ด้วยถ้อยคำที่สุภาพและนำเสนอข้อมูลข้อเท็จจริง
โดยเฉพาะ “ไม่” ส่งต่อความรุนแรง ที่คนส่วนใหญ่จะเป็นกันมาก บางทีไม่ได้ผลิตสารความรุนแรงเองแต่ส่งต่อ ซึ่งเราเคยทำโซเชียลแล็บแล้วพบว่า เมื่อมีการใช้ถ้อยคำสุภาพ เตือน Hate Speech และ Blame Speech ความรุนแรงจะลดลง การเป็นพลเมืองในสื่อโซเชียลมีผลมากต่อสังคมไทย
ผู้นำที่ใช้ Hate Speech
นพ.ยงยุทธ บอกกับเราว่า คำว่ารู้ตัวหลายคนคงไม่รู้ตัวนะ เพราะหลายคนคิดว่าตัวเองทำสิ่งที่ตัวเองเชื่อมั่นศรัทธา เพียงแต่เราให้มุมมองอีกด้านหนึ่งว่า จริงๆ แล้วการแสดงความเชื่อมั่นศรัทธา ถ้าแสดงพอสมควร ให้เข้าใจเหตุและผล แต่ถ้าเริ่มใช้ความรุนแรงทางวาจา มันต้องรู้ว่า มันจะนำไปสู่ความรุนแรงทางสังคมที่มากกว่านั้น ซึ่งเชื่อว่า ทุกคนไม่ว่าจะมีความคิดทางการเมืองแบบไหน คงไม่ต้องการให้มีเหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้น และเขาส่ง Hate Speech เพื่อต้องการได้รับการยอมรับ หากไม่มีการตอบรับเขาไม่ดันทุรังส่ง
วุฒิสภาวะทางการเมืองเป็นเรื่องของการพัฒนา มันเดินหน้าแล้วจะไม่กลับถ้าเรายกระดับได้ขั้นหนึ่งสังคมไทยก็เปลี่ยนวิธีคิดทางการเมืองเลิก ที่จะมองความเห็นทางการเมืองที่แตกต่าง
การเสพข่าวการเมืองมากเกินไป
ข่าวทางการเมืองจัดว่าเป็นข่าวที่มีสีสัน ทำให้มีคนติดตามมาก ด้วยสีสัน เนื้อหาในข่าวพอติดตามไปเรื่อยๆ จะติดตามมากเกินไปใช้เวลาติดตามข่าวหลายๆ ชั่วโมง จนถึงเริ่มหลายวันจะเกิดความเครียดจากการเสพข่าวได้ โดยให้เสพข่าวโดยใช้สมองส่วนคิดให้มาก เช่น ตามข่าวประมาณ 1 ชั่วโมงแล้วไปทำกิจกรรมอื่น หรือการฟังความเห็นหลายๆ มุม ทั้งนี้คนส่วนใหญ่จะติดตามข่าวในช่วงเย็นหรือค่ำ เวลาที่เหลือไม่ควรติดตามข่าวมากนัก
“คนพวกนี้ดูข่าวแล้วจะดูรายการ Talk อีกรายการหนึ่งทั้งหมดก็ประมาณ 1 – 2 ชั่วโมง ก็ควรจะแค่นั้น ไม่ใช่ดูจบแล้วไปดูดีเบตช่องอื่นอีก เพราะเดี๋ยวนี้ดูย้อนหลังได้ ถ้าอย่างนี้เริ่มเครียด บริหารเวลาเท่ากับบริหารชีวิตด้วย เพราะถ้าตามดูตั้งแต่ทุ่มหนึ่งถึงเที่ยงคืนก็จะเสียเวลาปกติ”
ความคุ้นชินในการเสพข่าวสารตลอดเวลาของคนในยุคนี้ อาจไม่ทันได้รู้ตัวว่า สิ่งที่กำลังกระทำ กำลังร่วมแสดงความคิดเห็น หรือแม้กระทั่ง “เลือก” ที่จะ “ส่งต่อ” ข่าวสารเหล่านั้น จะมีผลกระทบต่อสังคมอย่างลึกซึ้ง หากคนในสังคมร่วมมือกันสร้างความเป็น “พลเมือง” ในสื่อสังคมออนไลน์ เตือนกันด้วยเหตุผล ไม่มองคนคิดต่างเป็นศัตรู ประเทศไทยก็จะเส้นทางเดินไปสู่ประชาธิปไตยสมบูรณ์แบบได้ชัดเจนขึ้น









