
ศูนย์เฉพาะกิจชั่วคราวในภาวะวิกฤติ สทนช. เฝ้าระวังปริมาณน้ำฝนที่จะตกเพิ่มในเขื่อนบริเวณลุ่มน้ำปราจีนบุรี และนครนายก ขณะที่ภาคตะวันตกยังคงปรับแผนระบายน้ำออกจาก 2 เขื่อนหลักต่อเนื่อง รองรับฝนใหม่หลังวันที่ 15 ก.ย. นี้
วันที่ 9 ก.ย. 61 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสำเริง แสงภู่วงค์ รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์เฉพาะกิจชั่วคราวในภาวะวิกฤติ กล่าวว่า เนื่องจากการคาดการณ์ฝนล่วงหน้า 3 วัน จากแผนที่ One Map พบแนวฝนจะเริ่มเคลื่อนเข้า จ.ปราจีนบุรี และนครนายกจนถึงวันที่ 10 กันยายน ส่งผลให้มีปริมาณฝนเฉลี่ย 50–70 มิลลิเมตรต่อวัน อาจกระทบปริมาณน้ำในเขื่อน และระดับน้ำในแม่น้ำปราจีนบุรีและนครนายก จึงต้องเฝ้าระวังปริมาณน้ำของลุ่มน้ำปราจีนบุรี และนครนายกที่มีฝนตกหนักต่อเนื่อง
ส่งผลให้ปริมาณน้ำในเขื่อนเพิ่มสูงขึ้นมากกว่า ร้อยละ 85 ทั้งเขื่อนขุนด่านปราการชล จ.นครนายก มีปริมาณน้ำ ร้อยละ 86 ระบายออกวันละประมาณ 6 ล้านลูกบาศก์เมตร มีน้ำไหลผ่านทางระบายน้ำล้นสูงประมาณ 80 เซนติเมตร และเขื่อนนฤบดินทรจินดา (ห้วยโสมง) จ.ปราจีนบุรี มีปริมาณน้ำ ร้อยละ 88 ระบายน้ำออกวันละเกือบ 4 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยทั้ง 2 เขื่อน กำลังเร่งพร่องน้ำตามการคาดการณ์ฝนที่ยังคงมีอยู่ต่อเนื่อง หากฝนตกเพิ่มอีกประมาณกลางเดือนกันยายนนี้ อาจกระทบพื้นที่ท้ายน้ำ จึงจะบริหารจัดการน้ำพื้นที่ตอนล่างของปราจีนบุรีใหม่

ขณะที่ เขื่อนแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี มีปริมาณน้ำ ร้อยละ 104 และล้นทางระบายน้ำ (Spillway) สูงเกือบ 60 เซนติเมตร จึงต้องวางแผนบริหารจัดการน้ำ รับมือฝนตกเพิ่มปริมาณน้ำในเขื่อนที่จะเริ่มช่วงปลายเดือนกันยายนถึงต้นเดือนตุลาคม ทั้งเหนือเขื่อน และทางตอนล่างของพื้นที่ร่วมกับน้ำที่ต้องระบายจากเขื่อน
รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) กล่าวย้ำว่า ภาคตะวันตก ยังต้องเฝ้าระวังปริมาณน้ำและปรับแผนระบายน้ำออกจากเขื่อนวชิราลงกรณ มีปริมาณน้ำ ร้อยละ 95 ยังระบายน้ำออกวันละ 58 ล้านลูกบาศก์เมตร จนถึงวันที่ 10 กันยายน และเขื่อนศรีนครินทร์ จ.กาญจนบุรี ปริมาณน้ำ ร้อยละ 92 ยังระบายน้ำเพิ่มผ่านเขื่อนท่าทุ่งนาเป็นวันละ 28 ล้านลูกบาศก์เมตร จนถึงวันที่ 13 กันยายน โดยจะเร่งระบายน้ำช่วงที่จะเกิดฝนทิ้งช่วงในภาคกลาง ก่อนกลับมาตกหนักอีกครั้งหลังวันที่ 15 กันยายนนี้ เพื่อให้ระดับน้ำอยู่ในเกณฑ์ควบคุมและรองรับปริมาณนํ้าฝนได้









