
หนุ่มพังงา รับไม่ได้ร้องสื่อ เจ้าอาวาสวัดดังพังงา มั่วสีกา ยาเสพติด (น้ำกระท่อม) ขณะที่เจ้าคณะจังหวัด แค่ให้ลาออกจากตำแหน่ง และให้ออกจากวัดในพื้นที่ ไม่มีการจับสึกแต่อย่างใด
วันที่ 12 ก.ย. 60 ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจาก นายสุทธิชัย ใจเย็น อายุ 42 ปี อยู่บ้านเลขที่ 21 ม.4 ต.กะไหล อ.ตะกั่วทุ่ง จ.พังงา ว่าที่วัดในพื้นที่ตำบลกะไหล มีพระที่ดำรงตำแหน่งถึงเจ้าอาวาสมั่วกับสีกา และกินน้ำกระท่อม
ผู้สื่อข่าวจึงได้ลงพื้นที่ไปตรวจสอบ นายสุทธิชัยเล่าว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นสักประมาณ 1 ปีแล้ว เนื่องจากหญิงสาวที่ไปยุ่งเกี่ยวกับพระเป็นภรรยาของตนเอง ซึ่งขณะนั้นยังอยู่กินด้วยกันมากว่า 7 ปี มีบุตรสาวด้วยกัน 1 คน อายุ 1 ปี 2 เดือน ตนเองรู้เรื่องมาตั้งนานแล้วว่าภรรยาตนเองมีอะไรกับพระรูปดังกล่าว ซึ่งเป็นถึงเจ้าอาวาสวัดเเห่งหนึ่ง แต่ไม่มีหลักฐาน ทำให้มีเรื่องทะเลาะกับภรรยาและเลิกรากันไป

จนเมื่อต้นเดือนสิงหาคม ที่ผ่านมา ตนเองได้สืบหาจนพบว่าภรรยาได้ไปเช่าบ้านแถวโตนดิน ต.ถ้ำ อ.ตะกั่วทุ่ง โดยที่พระรูปดังกล่าวจ่ายเงินค่าเช่าให้ และแวะเวียนไปหาทุกคืน หลังจากที่พบแล้วก็ได้ย้ายหนีไปอีก ตนจึงพยายามหาหลักฐานมายืนยัน จนได้ภาพถ่ายมาจากมือถือ และได้การนำภาพลงในโลกโซเชียล ทำให้มีคนเข้าไปแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก จนเรื่องถึงเจ้าคณะจังหวัดพังงา และสำนักพระพุทธศาสนาพังงา จึงได้มีการเรียกพระรูปดังกล่าวพร้อมตนเข้าไปสอบถามเมื่อวันที่ 11 ก.ย. (เมื่อวาน)
ซึ่งพระรูปดังกล่าวก็ยอมรับว่าภาพที่ปรากฏนั้นเป็นตัวเองจริง มีอะไรกับสีกาจริง และกินน้ำต้มใบกระท่อม เป็นการยอมรับจากปากพระรูปดังกล่าว และตนเองก็นั่งฟังอยู่ด้วย และมีการเขียนบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ด้วย แต่สิ่งที่ตนเองไม่ค่อยเห็นด้วยนั้นคือทางคณะสงฆ์แค่ให้เลือกว่าจะสึกหรือลาออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาสวัด และออกจากวัดไป ตนสงสัยว่าทำไมต้องให้เลือกด้วย ทั้งที่ความผิดชัดเจนขนาดนี้ ซึ่งตนคิดว่าต้องจับสึกอย่างเดียว และให้เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจหาสารเสพติดด้วย จึงเป็นเหตุผลที่ตนเองต้องออกมาร้องสื่อ เพราะมันไม่ใช่เรื่องส่วนตัวแล้ว

ตอนแรกก็คิดว่าไม่อยากให้เป็นข่าวใหญ่โต เลยเข้าไปเคลียร์ แต่ผลที่ได้กลับไม่ค่อยเป็นธรรมสักเท่าไหร่ และตนมองว่า พระที่มั่วสีกาน่าจะต้องจับสึกสถานเดียว เพราะถือว่าผิดวินัยสงฆ์ร้ายแรง นี้แค่ให้ลาออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาสและออกไปจากวัดในพื้นที่ จึงไม่คิดว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง และหากปล่อยไปอย่างนี้ พระรูปดังกล่าวก็จะไปทำแบบนี้อีกกับที่อื่น โดยใช้ผ้าเหลือมาบังหน้า ทำให้ศาสนาพุทธของเราเสื่อมลงไปอีก









