แพทย์จุฬาฯ อธิบายชัดอาการไม่พึงประสงค์หลังฉีดวัคซีนโควิด-19 ต้องแยกจากอาการข้างเคียง และต้องวิเคราะห์อย่างละเอียด
วันที่ 4 มิ.ย. 2564 ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายถึงอาการไม่พึงประสงค์หลังฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยระบุว่า ขณะนี้ทั่วโลกมีการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ไปแล้ว ไม่น้อยกว่า 2,000 ล้านโดส ไม่เคยมีวัคซีนใดที่ฉีดได้รวดเร็วและมากเท่านี้
ศ.นพ.ยง อธิบายว่า อาการไม่พึงประสงค์ที่เกิดขึ้นหลังการให้วัคซีน เป็นเหตุการณ์อะไรก็ตาม ที่เกิดขึ้นหลังการให้วัคซีนใน 2 สัปดาห์ เราจะรวบรวมเป็นอาการไม่พึงประสงค์แล้วสรุปว่าเกี่ยวข้องกับวัคซีนหรือไม่ ความเป็นไปได้ที่เกี่ยวข้องกับวัคซีน น่าจะเกี่ยวข้อง หรือเกี่ยวข้อง จึงต้องอาศัยการช่วยวิเคราะห์อย่างละเอียด
ก่อนหน้านี้ ศ.นพ.ยง กล่าวถึงการฉีดวัคซีนแล้วเสียชีวิตใน 2 วันต่อมาก็ถือว่าเป็นอาการไม่พึงประสงค์อย่างร้ายแรง แต่เมื่อไปศึกษารายละเอียดพบว่า การเสียชีวิตถูกยิงตายก็ต้องศึกษาต่อไปอีกว่า วัคซีนมีผลทำให้พฤติกรรมก้าวร้าวหรือไม่ ถ้าก้าวร้าวแล้วถูกยิงตาย วัคซีนก็อาจจะเป็นสาเหตุได้
“ผมอยู่ในการศึกษาวัคซีนมามาก แม้กระทั่งฉีดวัคซีนไปแล้ว เดินออกจากโรงพยาบาล เดินตกท่อ ก็ยังต้องหาสาเหตุว่าเกี่ยวข้องกับวัคซีนหรือไม่ เพราะวัคซีนอาจทำให้เวียนศีรษะ แล้วเดินตกท่อก็ได้ แต่ถ้าไปเดินสะดุดแล้วตกท่อก็ไม่น่าจะเป็นสาเหตุ” ศ.นพ.ยง กล่าว
สำหรับประเทศไทยขณะนี้ได้ฉีดวัคซีนไปถึง 3.8 ล้านโดส ถ้าเฝ้าระวังอาการ แค่ 7 วันก็พอ ก็เท่ากับไม่น้อยกว่า 25 ล้านวัน ชีวิตคน หรือเท่ากับ 65 หมื่นปี หรือเรียกง่ายๆ คนเรามีอายุ 80 ปี ก็อย่างน้อย 800 คน ที่เมื่อนับรวมวันกันตั้งแต่เกิดจนตายก็จะเท่ากับ 25 ล้านวัน ฟังดูแล้วเข้าใจยากไปหน่อย
ถ้าพูดง่ายๆ ชีวิต 25 ล้านวัน เท่ากับชีวิตของคน 800 คน ที่มีอายุอยู่ถึง 80 ปี เมื่อวันเวลาดังกล่าวดที่ยกตัวอย่างก็ต้องมีการเสียชีวิต ตามโลกแห่งความเป็นจริง แต่การให้วัคซีนส่วนใหญ่แล้วให้กับคนแข็งแรง เหตุการณ์จึงไม่ได้เกิดถึงขนาดนั้น
ดังนั้น เมื่อเกิดอาการไม่พึงประสงค์ โดยเฉพาะอาการใหม่จะต้องมีการรายงาน ว่าโรคนั้นเกี่ยวข้อง หรือเป็นอาการข้างเคียงกับวัคซีนหรือไม่ เช่น การให้วัคซีนไวรัส Vector เกิดการมีลิ่มเลือดและมีเกล็ดเลือดต่ำ (คนละโรคกับเส้นเลือดดำอุดตัน) โรคนี้ก็พบได้อยู่แล้ว แต่เมื่อมาเปรียบเทียบกับอุบัติการณ์ของคนปกติที่พบในชีวิตจริงแล้วพบว่า เกิดจากวัคซีนได้มากกว่าก็เป็นที่ยอมรับว่า การเกิดลิ่มเลือดชนิดที่มีเกล็ดเลือดต่ำมีความเกี่ยวข้องกับการฉีดวัคซีนชนิด Virus Vector แต่อุบัติการณ์จะเกิดในคนอายุน้อย และมีอุบัติการณ์ทั้งสิ้นประมาณ 1 ในแสน เมื่อเทียบประโยชน์แล้วมีมากกว่าก็เดินหน้าให้วัคซีน และโรคดังกล่าวก็รักษาได้ ถ้ารู้เร็ว
เช่นเดียวกันการฉีดวัคซีน mRNA เช่นของ Pfizer ขณะนี้มีรายงานการเกิดกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ โดยเฉพาะในคนอายุน้อย ข้อมูลนี้กำลังเฝ้าระวัง โดยเฉพาะในอเมริกาและอิสราเอล เริ่มให้ความสำคัญก็จะต้องศึกษาเพิ่มเติมว่า อุบัติการณ์ในการฉีดวัคซีนในคนอายุน้อยของ Pfizer มีโอกาสเกิดมากกว่าคนที่ไม่ได้ฉีด แล้วเกิดกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบเท่าใดจะต้องคำนึงถึงผลได้ของวัคซีนเปรียบเทียบกับการเกิดกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบและผลระยะยาวของหัวใจ
วัคซีนที่ใช้อยู่ขณะนี้เป็นวัคซีนใหม่จึงจำเป็นต้องบันทึกอาการไม่พึงประสงค์ ลงอย่างละเอียด และจำเป็นต้องใช้นักวิชาการมาวิเคราะห์ และคำนึงถึงประโยชน์ที่ได้และผลเสียที่จะเกิดจากการฉีดวัคซีน
เราจำเป็นจะต้องใช้ทั้งเหตุและผล เข้ามาร่วมการตัดสินใจ
ข่าวในเชิงลบ จะออกมาเร็วและผู้คนสนใจ แต่เมื่อความจริงปรากฏว่าเกี่ยวข้องหรือไม่เกี่ยวข้องกับวัคซีน ก็มักจะ ไม่เป็นข่าวออกมาเลย เช่นในรายการเสียชีวิต จะเป็นข่าวอย่างรวดเร็ว แต่ผลของการสอบสวนต้องใช้เวลา และเมื่อผลสอบสวนออกมาแล้ว ก็มักจะไม่ได้เป็นข่าวแล้ว
<iframe src=”https://www.facebook.com/plugins/post.php?href=https%3A%2F%2Fwww.facebook.com%2Fyong.poovorawan%2Fposts%2F5784089378300298&show_text=true&width=500″ width=”500″ height=”352″ style=”border:none;overflow:hidden” scrolling=”no” frameborder=”0″ allowfullscreen=”true” allow=”autoplay; clipboard-write; encrypted-media; picture-in-picture; web-share”></iframe>










