เริ่มใช้กฎหมายความเร็วรถใหม่ นำร่องสายเอเชีย รวม 45.3 กม. เตรียมสร้างสะพานลอยเพิ่ม

เริ่มใช้กฎหมายความเร็วรถใหม่ นำร่องสายเอเชีย รวม 45.3 กม. เตรียมสร้างสะพานลอยเพิ่ม

ในประเทศ

รมว.คมนาคม เตรียมนำร่องทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 32 (ถนนสายเอเชีย) ใช้กฏหมายควบคุมความเร็วรถใหม่ เริ่มภายในเดือนนี้ พร้อมสั่งกรมทางหลวง และกรมทางหลวงชนบท สำรวจเส้นทางทั่วประเทศ เพื่อกำหนดให้ใช้ความเร็วเพิ่มขึ้นต่อไป

วันที่ 11 มี.ค.2564 นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวถึงกรณีเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่กฎกระทรวง กำหนดอัตราความเร็วของยานพาหนะบนทางหลวงแผ่นดินหรือทางหลวงชนบทที่กำหนด พ.ศ. 2564 อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 5 (1) แห่งพระราชบัญญัติทางหลวง พ.ศ. 2535 ว่า แม้กฎกระทรวงประกาศออกมาแล้ว ไม่ได้หมายความว่า จะมีผลเลยทันที จะต้องรอการประกาศอย่างเป็นทางการก่อน ซึ่งตามหลักการต้องสะดวก รวดเร็ว และต้องปลอดภัย ซึ่งกระทรวงคมนาคมได้บูรณาการร่วมกับกรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยกฎกระทรวงมีผลบังคับใช้ เมื่อผู้อำนวยการทางหลวงประกาศว่า ถนนเส้นใดสามารถใช้ความเร็วได้ ซึ่งจะมีการประกาศแจ้งบนถนน ว่าจะเริ่มดำเนินการให้ใช้ความเร็วได้ตามกฎกระทรวง

เบื้องต้น จะใช้เส้นทางแรกคือ ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 32 (ถนนสายเอเชีย) ช่วงบริเวณหมวดทางหลวงบางปะอิน-ทางต่างระดับอ่างทอง กม. ที่ 4+100-50+000 ระยะทาง 45.9 กิโลเมตร คาดว่า จะเริ่มได้ภายในเดือนนี้ และจะทยอยประกาศเพิ่มในอนาคต

ทั้งนี้ กำหนดให้ถนนจะต้องเป็น 4 ช่องจราจร มีเกาะกลางถนน และไม่มีจุดกลับรถ หรือจุดตัดเสมอเส้นทาง ซึ่งก่อนถึงการเข้าสู่เขตจำกัดความเร็ว จะมีป้ายแจ้งก่อน และจะมีการติดตั้งอุปกรณ์สั่นสะเทือน (Rumble strip) ว่าเข้าสู่เขตใช้ความเร็วเป็นพื้นสีเขียว และเมื่อวิ่งไปขอให้ประชาชนสังเกตป้าย ก่อนออกจากช่วงบังคับใช้ความเร็วจะมีการติดตั้งอุปกรณ์สั่นสะเทือนเป็นพื้นสีเหลือง และเมื่อออกจากเขตบังคับใช้จะเป็นสีแดง

รวมทั้ง ให้กรมทางหลวงและทางหลวงชนบทสำรวจทำสะพานลอย เพื่อให้ประชาชนเดินข้าม ทั้ง คน รถจักรยานยนต์ และรถจักรยาน แต่รถยนต์ให้ใช้สะพานกลับรถ โดยสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปสำรวจเส้นทาง ถนนทั่วประเทศ เพื่อดูว่าแต่ละเส้นมีเส้นใดทางใดประกาศให้ใช้ได้ และส่งข้อมูลมาให้กระทรวงภายในวันพรุ่งนี้ (12 มี.ค.2564) ก่อนมีการประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในวันที่ 15 มี.ค.นี้ เพื่อกำหนดพื้นที่ว่าจะมีถนนช่วงใดบ้างที่ให้ใช้ความเร็วได้และใช้ได้เมื่อใด

พร้อมกำชับว่า ต้องทำป้ายกำหนดอัตราความเร็วแต่ละช่องจราจรเพื่อให้ประชาชนรับทราบ ส่วนงบประมาณที่จะใช้ให้หน่วยงานประสานมายังกรมการขนส่งทางบก โดยใช้เงินจากกองทุนความปลอดภัยทางถนน ซึ่งยืนยันว่ามีเพียงพอ ขณะเดียวกันการกำหนดการใช้ความเร็ว เช่น รถโรงเรียน ที่กำหนดให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 80 กม./ชม. ซึ่งที่ไม่ได้อยู่ในการกำกับให้วิ่งได้ 120 กม./ชม. จะไม่สามารถวิ่งได้ในเลนนั้นได้ โดยจะประสานทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถึงการกำกับการใช้งานอีกครั้ง

สำหรับ ประกาศดังกล่าว กำหนดให้

รถบรรทุก น้ำหนักรถเกิน 2,200 กิโลกรัม ให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 90 กม./ชม.

รถโดยสารมีที่นั่งคนโดยสารเกิน 15 คน ให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 90 กม./ชม.

รถลากจูงรถอื่น รถยนต์สี่ล้อเล็ก รถยนต์สามล้อ ให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 65 กม./ชม.

รถจักรยานยนต์ ให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 80 กม./ชม.

รถจักรยานยนต์ กำลังเครื่องยนต์ 35 กิโลวัตต์ขึ้นไป หรือมีขนาดความจุของกระบอกสูบรวมกันตั้งแต่ 400 ลูกบาศก์เซนติเมตรขึ้นไป ให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 110 กม./ชม.

รถโรงเรียน ให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 80 กม./ชม.

รถโดยสารที่มีที่นั่งเกิน 7 คนแต่ไม่เกิน 15 คน ให้ใช้ความเร็ว ไม่เกิน 100 กม./ชม.

รถแทรกเตอร์ รถบดถนน หรือรถใช้งานเกษตรกรรม ให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 45 กม./ชม.

และรถอื่นๆ ให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 120 กม./ชม. หากรถอยู่ในช่องเดินรถขวาสุด ต้องใช้ความเร็วไม่ต่ำกว่า 100 กม./ชม. เว้นแต่ในกรณีที่ช่องเดินรถนั้นมีข้อจำกัดด้านการจราจรหรือทัศนวิสัย มีสิ่งกีดขวาง หรือมีเหตุขัดข้องอื่น

ทั้งนี้ หากในทางเดินรถมีเครื่องหมายจราจรแสดงว่า เป็นเขตอันตราย หรือเขตให้ขับรถช้าๆ ให้ลดความเร็วลง และเพิ่มความระมัดระวังขึ้นตามสมควร และในกรณีที่ทางเดินรถ หรือช่องเดินรถใด มีเครื่องหมายจราจรกำหนดอัตราความเร็วต่ำกว่าอัตราที่กำหนดให้ใช้ความเร็วไม่เกินอัตราความเร็วที่กำหนดไว้

TODAYWriterTODAY

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง