สภาฯ ผ่าน กม.ทำแท้ง แต่อายุครรภ์ต้องไม่เกิน 12 สัปดาห์

สภาฯ ผ่าน กม.ทำแท้ง แต่อายุครรภ์ต้องไม่เกิน 12 สัปดาห์

ในประเทศ

สภาฯ ผ่าน กม.ทำแท้ง แต่อายุครรภ์ต้องไม่เกิน 12 สัปดาห์ แจง เพื่อให้ผู้หญิงมีทางออกเมื่อประสบปัญหาชีวิต ชี้หลังได้รับคำแนะนำแล้ว ให้ตัดสินใจเอง จะตั้งครรภ์ต่อหรือยุติการตั้งครรภ์

วันที่ 20 ม.ค. 2564 มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร โดยมีนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานในการประชุม เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ …) พ.ศ. … ที่คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาเสร็จแล้ว ทั้งนี้ สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวนั้น มีทั้งหมด 4 มาตรา โดยในมาตรา 3 นั้นกำหนดโทษสตรีที่ทำแท้ง หรือยอมให้ผู้อื่นทำแท้ง ขณะมีอายุครรภ์เกิน 12 สัปดาห์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

สำหรับมาตรา 4 นั้น ระบุว่า ถ้าเป็นการกระทำของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม และตามหลักเกณฑ์ของแพทยสภาถือว่าไม่ผิด ดังนี้ 1.หญิงตั้งครรภ์ต่อไปจะเสี่ยงต่อการได้รับอันตรายต่อสุขภาพทางกายหรือจิตใจของหญิงนั้น 2.เนื่องจากมีความเสี่ยงอย่างมาก หรือมีเหตุผลทางการแพทย์อันควรเชื่อได้ว่า หากทารกคลอดออกมาจะมีความผิดปกติถึงขนาดทุพพลภาพอย่างร้ายแรง 3.หญิงยืนยันต่อผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมว่าตนมีครรภ์เนื่องจากมีการกระทำความผิดเกี่ยวกับเพศ
4.หญิงซึ่งมีอายุครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์ยืนยันที่จะยุติการตั้งครรภ์ และ5.หญิงซึ่งมีอายุครรภ์เกิน 12 สัปดาห์ แต่ไม่เกิน 20 สัปดาห์ ยืนยันที่จะยุติการตั้งครรภ์ ภายหลังการตรวจและรับคำปรึกษาทางเลือกจากผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมและผู้ประกอบวิชาชีพอื่นตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขประกาศกำหนด โดยคำแนะนำของแพทยสภาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น
ด้านนายประสิทธิ์ มะหะหมัด ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า ในฐานะที่ตนเป็นมุสลิม ตามหลักการของศาสนาอิสลาม ภายหลังจากมีปฏิสนธิและทารกอยู่ในครรภ์ 120 วันแล้ว ถือว่าเด็กมีชีวิตแล้ว หากทำแท้งถือว่าบาปมหันต์ ยกเว้นจะมีเหตุจำเป็น เช่น แพทย์วินิจฉัยแล้วว่ามีอันตรายถึงชีวิตของมารดา เป็นต้น แต่ถ้าเด็กได้รับการพิสูจน์ทางการแพทย์ว่าเกิดมาไม่สมประกอบ หรือพิการ ตามหลักของอิสลามห้ามทำแท้ง เพราะเชื่อว่าเกิดมาแล้วสังคมจะไม่ทอดทิ้ง และช่วยเหลือกัน

ขณะที่กรรมาธิการฯ ชี้แจงว่า มาตรา 4 ข้อยกเว้นที่ 5 นั้น บัญญัติขึ้นเพื่อให้ทางออกกับสตรีที่ประสบปัญหาในชีวิต เช่น พ่อของลูกเกิดเสียชีวิต หรือปฏิเสธการเป็นพ่อ ยืนยันว่า กรรมาธิการฯ มีเจตนาให้ผู้หญิงมีทางออกเมื่อประสบปัญหาในชีวิต และให้ได้รับคำแนะนำ จากนั้นจึงค่อยตัดสินใจด้วยตนเองว่าจะตั้งครรภ์ต่อไป หรือจะยุติการตั้งครรภ์

ภายหลังจากอภิปรายกันพอสมควรแล้ว ที่ประชุมสภาฯ จึงลงมติเห็นชอบด้วยคะแนน 276 เสียง ไม่เห็นชอบ 8 เสียง และงดออกเสียง 54 เสียง

TODAYWriterTODAY

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง