จากผู้สมัครที่เคยมีความเห็นปรามาสว่าเขาได้กระแสแค่บนโลกออนไลน์และกลุ่มวัยรุ่น
แต่คะแนน 1.4 ล้านเสียงที่เลือกให้ ‘ชัชชาติ สิทธิพันธุ์’ เป็นผู้ว่าฯ กทม. ทุบสถิติการเลือกตั้งพ่อเมืองกรุงเทพฯ ก็เป็นที่ชัดเจนว่าความนิยม ‘ชัชชาติ’ ไม่ได้เป็นดังคำปรามาสที่ว่า
ชัยชนะของ ‘ชัชชาติ’ ครั้งนี้มาจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น การลงพื้นที่จริงมาตลอด 2-3 ปี เพื่อพูดคุยกับผู้คนและสำรวจปัญหามาพัฒนาเป็นนโยบาย หรือจะเป็นบุคลิกของชัชชาติ ที่เข้าถึงง่าย เป็นกันเอง
แต่ถึงอย่างนั้น สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้ผู้สมัครอิสระ ไม่ได้สังกัดพรรคการเมืองไหนแบบเขาคว้าชัยชนะมาได้ ก็คือ ‘ทีมงานชัชชาติ’
ทีมงานชัชชาติที่ไม่ได้มีจำนวนมากมายอะไรเมื่อเทียบกับพรรคการเมืองใหญ่ๆ ในทีมหลักราว 30 คน ส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นใหม่ แต่ละคนไม่เคยผ่านงานการเมืองมาก่อน
พวกเขาทำงานกันอย่างไร มีวิธีคิดแบบไหน TODAY Bizview มีโอกาสได้พูดคุยกับ ‘พัฒน์-เอื้อย-แหวน’ ตัวแทนทีมงานชัชชาติ และขอสรุปมาเป็น 5 ข้อให้ทุกคนได้อ่านกัน
1.เอ๊ะ
แนวคิดแรกที่ทีมงานชัชชาติทุกคนมี นั่นคือการ “เอ๊ะ” หรือการฉุกคิด ตั้งคำถามถึงสิ่งต่างๆ ที่กำลังทำอยู่ว่าจะนำไปสู่อะไร และทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีขึ้นกว่าเดิมได้หรือไม่
ทุกคนน่าจะได้รับแนวคิดนี้มาจากการทำงานร่วมกับชัชชาติ เพราะเขามักจะ “เอ๊ะ” ซึ่งชวนให้ทีมงาน Rethink หรือคิดต่อไปด้วยกันเสมอ จนหล่อหลอมทักษะนี้เข้าไปในตัวทีมงานทุกคนก็ว่าได้

พัฒน์ – พัฒน์ จันทะโชติ
ยกตัวอย่างคือเรื่องนโยบาย 9 ดี 9 ด้าน ที่ทำออกมาเป็นการ์ตูนและได้รับกระแสดีมากจากคนรุ่นใหม่
ทีมชัชชาติบอกว่าในตอนแรกไม่ได้ตั้งใจจะสื่อสารกับคนรุ่นใหม่ซะทีเดียว แต่เกิดจากการคิดว่าจะถ่ายทอดนโยบาย 200 กว่าข้อออกมายังไง
ที่สุดก็ออกมาเป็น 9 ดี 9 ด้าน แต่ก็เกิดการ “เอ๊ะ” ว่าแล้วจะสื่อสารกับคนรุ่นใหม่ยังไง ท้ายที่สุดก็เลยทำออกมาเป็นการ์ตูน
2.ฟัง
เมื่อเกิดการ “เอ๊ะ” ขึ้นมา แน่นอนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือการระดมสมอง ถกเถียงมากมายเพื่อหาข้อสรุปว่าจะทำ-ไม่ทำ ถ้าทำ จะทำแบบไหน
แต่ในระหว่างการถกเถียง บรรยากาศของทีมชัชชาติ คือบรรยากาศของ ‘การรับฟัง’ ด้วย
จุดเริ่มต้นของบรรยากาศนี้ส่วนหนึ่งก็มาจาก ‘ชัชชาติ’ เองที่เป็นคนเปิดกว้างและเปิดใจรับฟัง แม้หลายครั้งผลของข้อสรุปจะไม่ตรงใจเขา แต่ถ้าผ่านการถกเถียงมาแล้ว ชัชชาติก็ยอมรับ
ในทีมเองเวลาถกเถียงกัน แสดงความเห็น ทุกคนก็รับฟังคนอื่นแบบที่ไม่มีการโกรธหรือดราม่าตามหลัง เพราะทุกคนรู้ดีว่านี่เป็นเรื่องงาน และทุกความเห็นจากทุกคนก็ออกมาจากความตั้งใจทั้งนั้น

เอื้อย – พรพรรณ ปุณณกะศิริกุล
น่าสนใจอย่างหนึ่งคือทีมชัชชาติต่างก็เป็นคนที่ไม่มีอีโก้ ทุกคนไม่มีใครมา ‘ขิง’ หรือเบ่งใส่กันว่าฉันเก่งเรื่องนี้ รู้เรื่องนี้ พวกเขาพร้อมรับฟังผู้อื่น ด้วยพื้นฐานมายด์เซ็ตที่ว่ามาทำเพื่อกรุงเทพฯ
3.จุดประสงค์-ผลลัพธ์
อีกแนวคิดที่ทำให้แคมเปญหลายอย่างสำเร็จ ไปจนถึงชัยชนะของชัชชาติ เป็นเพราะทีมงานมีจุดประสงค์และวางเป้าหมายผลลัพธ์ไว้อย่างชัดเจน
ทีมชัชชาติเข้ามาทำงานด้วยจุดประสงค์และเป้าหมายเดียวกันที่ว่า “ต้องการจะพัฒนากรุงเทพฯ ให้ได้” “อยากเห็นกรุงเทพฯ เปลี่ยนแปลง” และชัชชาติก็เป็นความหวังของพวกเขาที่จะทำให้ไปถึงเป้าหมายนั้น
การกำหนดจุดประสงค์และผลลัพธ์ ยังเป็นแนวคิดที่ถูกนำมาใช้ในหลายๆ สิ่งที่ทีมชัชชาติทำ
คือเวลาจะทำแคมเปญอะไรสักอย่าง พวกเขาจะคิดก่อนว่าอยากเห็นผลลัพธ์ออกมาเป็นยังไง หรือจะทำสิ่งนี้เพื่ออะไร จากนั้นถึงจะเข้าสู่ขั้นตอนการหาวิธีทำเพื่อให้เกิดผลลัพธ์นั้นขึ้น
4.Trust
แนวคิดอีกข้อที่เราเห็นจากทีมชัชชาติ ก็คือ Trust หรือการเชื่อมั่นในตัวกันและกัน
สิ่งนี้เริ่มตั้งแต่ชัชชาติเอง ตั้งแต่การรับคนเข้าทีม ชัชชาติเลือกคนกลุ่มแรกเข้าทีมจากการเชื่อมั่น เชื่อใจ ว่านี่คือคนที่จะร่วมทางไปกับเขา
ทีมชัชชาติกลุ่มแรกๆ 4-5 คน ก็เติมคนอื่นๆ เข้าทีมโดยเลือกจากคนที่ตัวเองรู้จักและเห็นแล้วว่านอกจากจะมีความสามารถ ก็ยังเชื่อว่ามีเคมีการทำงานที่เข้ากันได้
คนรุ่นใหม่ที่เข้ามาทำงานในทีมชัชชาติเอง ก็เชื่อในตัวชัชชาติ ซึ่งพวกเขาบอกว่าสิ่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ แต่เกิดจากการเห็นในสิ่งที่ชัชชาติทำในทุกๆ วัน เช่น เรื่องวิ่ง
พวกเขาบอกว่า การวิ่งของชัชชาติ เขาไม่ได้คิดแค่ว่าวิ่งเพื่อให้ตัวเองแข็งแรง สุขภาพดี แล้วจบ แต่ชัชชาติวิ่งบนหลักคิดที่ว่าจะได้สุขภาพแข็งแรงเพื่อให้ดูแลลูกได้ ดูแลเมืองได้ นั่นทำให้พวกเขาเชื่อในตัวชัชชาติ

แหวน – นริศรา สื่อไพศาล
และชัชชาติเองก็เชื่อในตัวทีมงานเช่นกัน แม้ทีมงานแต่ละคนจะไม่เคยทำงานการเมืองกันมาก่อน แต่เขาก็ปล่อยให้คิดอย่างอิสระ ไม่ตีกรอบ แต่ก็จะมีการถามว่าเป็นยังไง ทำแล้วดีมั้ย ถ้าทำแล้วดี ทำแล้วไป เขาก็จะปล่อยให้ทำชนิดที่เชื่อแล้วเชื่อเลย
5.ไฮบริด
ข้อสุดท้ายของการทำงานแบบทีมชัชชาติก็คือ ‘ไฮบริด’
ด้วยความที่คนน้อย ทำให้ทีมชัชชาติอาศัยการเทิร์นคนให้ไปทำงานอื่นๆ เจอหน้างานใหม่ๆ ที่ต่างไปจากเดิม และนั่นทำให้คนในทีมชัชชาติแต่ละคน ‘ไม่มีชื่อตำแหน่ง’
อย่างพัฒน์ที่หลักๆ ดูเรื่องนโยบาย งานแรกของเขาคือการติดโปสเตอร์ที่กระจก
เอื้อย เข้ามาในตำแหน่งแอดมินดูแลกลุ่มไลน์อาสาเพื่อนชัชชาติ ต่อมามีหน้าที่ดูแลโซเชียลมีเดีย และแปลงข้อความนโยบายเป็นภาษาที่เข้าใจง่าย
แหวนที่ตอนแรกเข้ามาทำงานโปรดักชั่น แต่ด้วยความที่เคยอยู่วงการสื่อ ทำให้ได้มาดูแลสื่อ เขียนข่าวประชาสัมพันธ์ ไปจนถึงจับงานอีเวนต์

แน่นอนว่าการทำงานแบบนี้ทำให้พวกเขาเหนื่อย เพราะทำงานกัน 7 วัน และบางครั้งไม่มั่นใจในหน้าที่ใหม่ๆ ที่ได้รับ
แต่เพราะแพสชั่นที่อยากจะพัฒนากรุงเทพฯ ความเชื่อในตัวผู้นำ และมายด์เซ็ตของการพร้อมรับฟัง ไม่ถือว่าตัวเองเก่ง ทำให้ไม่ว่าจะไฮบริดไปทำหน้าที่อะไร พวกเขาก็ตั้งใจทำมันออกมาให้ดีที่สุด
และท้ายที่สุดก็ออกมาเป็นผลลัพธ์อย่างที่เราเห็นกันนั่นเอง










