“เปลี่ยนจากต้นทุน เป็นการลงทุน” คุยกับ อ.วิษณุ คณะเศรษฐศาสตร์ ม.เกษตรฯ ในวันที่ ‘พ.ร.บ.อากาศสะอาด’ คือทางรอดไม่ใช่ทางเลือก

“เปลี่ยนจากต้นทุน เป็นการลงทุน” คุยกับ อ.วิษณุ คณะเศรษฐศาสตร์ ม.เกษตรฯ ในวันที่ ‘พ.ร.บ.อากาศสะอาด’ คือทางรอดไม่ใช่ทางเลือก

ENVIRONMENT

“ในทางเศรษฐศาสตร์คำว่า Cost of Inactive การไม่ทำอะไร ไม่ได้หมายความว่าไม่มีต้นทุน” จะว่าเป็นการเพิ่มแรงจูงใจก็ว่าได้ สำหรับคำอธิบายนี้ของ รศ.วิษณุ อรรถวานิช อาจารย์ภาควิชาเศรษฐศาสตร์ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

 

ในวันที่ ‘พ.ร.บ.อากาศสะอาด’ เดินทางมากว่า 1 ปี 9 เดือน จนผ่านด่าน สส. เหลือเพียงการพิจารณาของ สว. เท่านั้น บ้านเราก็จะมีกฎหมาย ที่ให้การมีอากาศดีๆ หายใจ เป็นสิทธิพื้นฐานของประชาชนเสียที

ทว่า หากทุกสิ่งทุกอย่างถ้ายังไม่สิ้นสุด ก็นยังไม่น่าวางใจ รายการ HEADLINE ของสำนักข่าว TODAY จึงชวน อ.วิษณุ อธิบายถึงสาระสำคัญของกฎหมายฉบับนี้ และคลายความกังวลใจกันอีกสักครั้ง

 

อากาศสะอาดต้องเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน

อ.วิษณุ เริ่มต้นอธิบายว่า กฎหมายฉบับเกิดขึ้นเพื่อต้องการจัดการมลพิษทางอากาศ ที่นำไปสู่อากาศสะอาดอย่างยั่งยืน ไม่ใช่แก้ไขเพียงแค่ยอดภูเขาน้ำแข็งของปัญหา ด้วยการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่มีอำนาจในการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะการตัดสินใจเรื่อง ‘งบประมาณ’ เพื่อทำให้การแก้ไขปัญหาต่อเนื่อง

“ที่ผ่านมาการพึ่งพางบประมาณแผ่นดิน ทำให้การแก้ปัญหาหยุดชะงัก เงินปีนี่อาจได้มาได้น้อย บางปีไม่ได้เลย แค่การแก้ปัญหาต้องต่อเนื่อง”

สาระสำคัญหลักประเด็นแรก คือ ‘สิทธิ หน้าที่ และการมีส่วนร่วม’ ซึ่งหากไปจนถึงปลายทาง อ.วิษณุ กล่าวว่า นี่จะเป็นกฎหมายฉบับแรกที่พูดถึงสิทธิขั้นพื้นฐานด้านสิ่งแวดล้อม ที่ทุกคนพึงจะได้รับ และผู้ก่อมลพิษในทุกภาคส่วน ไม่เว้นภาคประชาชนก็ต้องร่วมรับผิดชอบ

ถัดมา คือ การกระจายอำนาจ จากผู้ว่าฯ ให้ไปถึงนายก อบจ. ช่วยขับเคลื่อน และท้ายสุดคือ การแก้ปัญหาเชิงรุก เฉพาะเจาะจงในแต่ละปัญหา โดยทั้งหมดนี้พึ่งพิง ‘เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์’ ในการกำหนดกลไกเพิ่มแรงจูงใจ ในขณะที่ยังยึดหลักการ ‘ผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย’ ลดการใช้งบประมาณแผ่นดิน

“ประชาชนที่จ่ายภาษีอาจจะก่อหรือไม่ก่อมลพิษ สุดท้ายเราเอาเงินก้อนนี้ (กองทุนสิ่งแวดล้อม) ไปช่วยผู้ก่อมลพิษ ให้เขาลดการปล่อยมลพิษลง คำถามคือใช่หรือไม่ หลักการสากลให้ผู้ก่อต้องจ่าย แต่นี่กลับประชาชนผู้เสียภาษีร่วมจ่าย ก็เป็นการบิดเบี้ยวเชิงหลักการ”

และที่จะมองข้ามไปไม่ได้ อ.วิษณุ ชี้ว่า ความรับผิดและบทลงโทษ ก็เป็นสิ่งสำคัญที่มองข้ามไม่ได้ ไม่เช่นนั้นกฎหมายจะไม่ถูกบังคับใช้จริง

 อ.วิษณุ กล่าวว่า  โดยเหตุทั้งหมด ทำให้ พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ ถูกคาดหวังว่าจะแก้ไขปัญหาในระยะยาว ทว่า จำเป็นต้องอาศัยระยะเวลาในการทำให้กฎหมายลำดับรองเดินหน้า “ใช้เวลา 2 ปี เป็นอย่างน้อย เพื่อให้ระบบต่างๆ สตาร์ท ถ้าเป็นในต่างประเทศใช้เวลาพอสมควร แค่สุดท้ายจะแก้ได้ยั่งยืน”

 

โยกอำนาจจากผู้ว่าฯ ไปสู่ นายก อบจ. ทำไม่ดี ปชช. วิจารณ์ได้

ถ้าต้องการเอาสุขภาพประชาชนเป็นที่ตั้ง และให้ทุกคนเข้าถึงอากาศที่สะอาด อย่างไรเสีย หลีกไม่พ้นหลักการกระจายอำนาจ อ.วิษณุ อธิบายว่า ณ ปัจจุบัน การสั่งการแก้ปัญหาเป็นแบบรวมศูนย์อำนาจ โดยมี ผู้ว่าราชการจังหวัด ถืออำนาจหลัก

“คำถามคือ ผู้ว่าฯ ยึดติดกับพื้นที่หรือเปล่า ยกตัวอย่าง การโยกย้ายราชการจังหวัด เพิ่งเจอกันสัปดาห์ก่อนแล้วย้าย สุดท้ายใครอยู่กับประชาชน ถ้าเขาไม่แก้ปัญหาจะร้องเรียนได้ไหม”

หลักการเช่นนี้ต่างกับ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ซึ่งเข้ามาในตำแหน่ง เพราะการเลือกตั้งของประชาชน ดังนั้น เมื่อใดทำหน้าที่ได้ไม่ได้ ประชาชนก็ไม่มอบคะแนนให้ในการเลือกตั้งครั้งถัดไป

“นายก อบจ. เขายึดติดกับพื้นที่ เข้าใจปัญหา เป็นกลไกสำคัญที่เราต้องให้คนที่ประชาชนมีสิทธิมีเสียงออกความเห็น ว่าเขาทำงานดีหรือไม่ดี เป็นตัวหลักในการแก้ปัญหา แล้วให้ผู้ว่าฯ เป็นที่ปรึกษา ตามอำนาจ”

ในวันที่ พ.ร.บ.อากาศสะอาด สมบูรณ์ 100% แล้วนั้น  อ.วิษณุ มองว่า เป็นกฎหมายที่ใหญ่มาก ถ้าหน่วยงาน หรือ ผู้ก่อมลพิษไม่ทำตาม นับว่าเป็นเรื่องผิดกฎหมาย ตามมาด้วยบทลงโทษ

อ.วิษณุ กล่าวว่า ในอนาคต ‘กองทุนอากาศสะอาด’ สามารถจัดเก็บได้จริง เนื่องจาก พึ่งพาหน่วยงานเดิมที่มีอยู่ เช่น กรมสรรพสามิต ที่เก็บภาษีสินค้าอยู่แล้ว ให้ไปเก็บเพิ่มเติมในบางสินค้าที่ก่อมลพิษ ตามอัตรามากน้อยต่างกันไป

‘ผู้ก่อมลพิษ ต้องรับผิดชอบ’ จะเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่

‘เจ้าพนักงานอากาศสะอาด’ ถือเป็นหนึ่งกลไกที่จะทำให้ การบังคับใช้ พ.ร.บ.อากาศสะอาด สำเร็จลุล่วง ตามคำอธิบายของ อ.วิษณุ สืบเนื่องจาก กฎหมายที่กำลังจะได้รับการอนุมัติ หากไม่ผิดไปจากที่คาดนั้น ให้อำนาจเจ้าหน้าที่สั่งการข้ามกระทรวง อีกทั้งสนับสนุนข้อมูลอ้างอิง ทั้ง ดัชนีชี้วัดคุณภาพอากาศ กฎหมายบังคับให้บริษัทเปิดเผยข้อมูล

 “กองทุนไม่ได้แค่ใช้เงิน แต่วางระบบนิเวศน์ข้อมูลทุกแหล่งกำเนิด เพราะฉะนั้นสามารถใช้กลไกข้อมูล ในฐานะขนาดใหญ่ ใช้แก้ปัญหาได้”

สิ่งที่ตามมาจึงไม่ใช่แค่สามารถวัดผลกระทบได้เท่านั้น อ.วิษณุ ยังมองว่า ‘ผลสัมฤทธิ์ของการใช้เงิน’ ยังเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้น ยกตัวอย่างว่า หากมีโรงงานที่คาดว่าจะสร้างผลกระทบร้ายแรงเกิดขึ้น พ.ร.บ.อากาศสะอาด จะมีเรื่องหลักประกันความเสี่ยง ที่โรงงานนั้นต้องวาง ‘หลักประกันล่วงหน้า’ ในกิจการที่ประเมินแล้วว่าสุ่มเสี่ยง

“อย่างถ้าเราคำนวณมูลค่าความเสียหาย โอกาสจะเกิดขึ้นอย่างน้อย 100 ล้านบาท เขาต้องเอาหลักทรัพย์มูลค่าเท่านั้น ไปวางตั้งแต่ก่อนเริ่มกิจการ”

เหตุที่ต้องเป็นเช่นนี้ เพราะที่ผ่านมา หากเกิดผลกระทบอย่างใดอย่างหนึ่ง ผู้ประกอบการมักผลักภาระไปให้ประชาชน เป็นผู้พิสูจน์ความเสียหาย และป้องกันการหลบหลีกความเสียหาย ไม่ใช่ปิดตัวแล้วหนี 

อ.วิษณุ ยังกล่าวว่า มีเครื่องมืออีกหลายอย่างที่จะถูกนำมาใช้ เช่น ค่าธรรมเนียมอากาศสะอาด ที่ใช้หลักการเดียวกับการเก็บภาษี นั่นคือเพิ่มราคาจากสินค้าที่ซื้อ “เราจะมีเงินที่เพียงพอ ไปแก้ปัญหาอย่างต่อเนื่อง”

 

ยังมีข้อกังวล ในด่าน สว. หรือไม่

ถึงตอนนี้ เหลือเพียงด่านสุดท้าย พ.ร.บ.อากาศสะอาด ก็จะเกิดขึ้นจริงแล้ว นั่นคือ ส่งให้วุฒิสภาพิจารณาอีกสามวาระ เนื่องจาก ร่างพ.ร.บ.ดังกล่าว กำหนดตั้งคณะกรรมการหลายชุด และตั้งกองทุนอากาศสะอาด จึงเข้าข่ายเป็นร่างพ.ร.บ.เกี่ยวด้วยการเงิน ซึ่ง สว. จะมีกรอบเวลาพิจารณาสั้นกว่าร่างพ.ร.บ.ทั่วไป คือ ต้องพิจารณาให้เสร็จสามวาระภายใน 30 วันแต่ขยายได้ไม่เกิน 30 วัน 

อ.วิษณุ กล่าวว่า คณะทำงานจึงยังคงเดินหน้าให้ข้อมูลสนับสนุนอย่างเต็มที่ เนื่องจาก กลุ่มที่เห็นต่าง หรือ ผู้เสียผลประโยชน์ ก็อาจพยายามทำให้ สว. ปรับเปลี่ยนเปลี่ยนบางประการ  อย่างไรก็ดี การปรับเปลี่ยนที่มาพร้อมเหตุผลตามหลักวิชาการ เพื่อให้เกิดการแก้ปัญหาระยะยาว อ.วิษณุ ยืนยันว่า เป็นเรื่องยอมรับได้

“เขาอาจพยายามล็อบบี้ สว. บางส่วน เพื่อให้ตัดบางมาตรา ที่เป็นเขี้ยวเล็บออก เราก็ต้องตามติดกันต่อ ถ้าท่านจะตัดออกจริงเราขอเหตุผลหน่อย ไม่ใช่สำหรับ กมธ. แต่ให้ประชาชน”

 

ทั้งนี้ ‘กองทุนอากาศสะอาด’ ก็เป็นเขี้ยวเล็บนึงที่น่ากังวล เพราะจะทำให้หลักการผู้ก่อมลพิษร่วมจ่ายไม่เกิดขึ้น เพราะไม่มีเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ร่วมวางแผน เนื่องจากมีข้อเสนอให้ใช้ ‘กองทุนสิ่งแวดล้อม’ ที่มีอยู่เดิม 

“กองทุนสิ่งแวดล้อมเอง ยังไม่มีการปรับเปลี่ยนกฎระเบียบใดๆ คำถามคือ ถ้ากองทุนอากาศสะอาดถูกตัดออก จะมั่นใจได้อย่างไรว่า กลไกทางการเงิน ซึ่งเป็นกองทุนสิ่งแวดล้อม จะนำไปสู่การแก้ปัญหาจริงๆ”

ในตอนท้าย อ.วิษณุ ยังฝากถึง ‘ผู้ประกอบการ’ ขอให้คลายกังวล เรื่องผลกระทบที่จะเกิด ด้วยมีมาตรการช่วยเหลือในช่วงเปลี่ยนผ่าน จากการผลิตที่ปล่อยมลพิษมาก ไปสู่การลดมลพิษ จนอากาศสะอาดในที่สุด อีกทั้ง ไม่ได้เก็บเงินผู้ก่อมลพิษทั้งหมด “ก่อนจะเก็บ เรามีการช่วยเหลือเพื่อเปลี่ยนผ่าน ถ้าท่านคิดว่าอยากปรับตัว”

ยิ่งไปกว่านั้น อ.วิษณุ ชวนมองระยะยาวว่า ผู้บริโภคต่างให้ความสำคัญกับการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น สินค้าที่ยังไม่ปรับตัวย่อมได้รับผลกระทบ

“ผมคิดว่าเป็นทางรอดนะ ไม่ใช่ทางเลือก สำหรับผู้ก่อมลพิษ ถ้าท่านปรับตัวตอนนี้ ท่านจะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ยิ่งเพิ่มยอดในอนาคตด้วย อยากให้มองเปลี่ยนจากคำว่า ‘ต้นทุน’ เป็น ‘การลงทุน’ เพื่อสิ่งที่ดีขึ้น ยอดขายที่มากขึ้น กำไรที่ดีขึ้นในอนาคต” อ.วิษณุ กล่าวทิ้งท้าย

SmitananWriterSmitanan

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง