H&M พลิกเกม Fast Fashion จากผู้ก่อขยะสิ่งทอมหาศาล สู่ว่าที่ผู้นำ Sustainable Fashion

H&M พลิกเกม Fast Fashion จากผู้ก่อขยะสิ่งทอมหาศาล สู่ว่าที่ผู้นำ Sustainable Fashion

ENVIRONMENT

ในยุคที่แฟชั่นหมุนเร็ว (fast fashion) ถูกตั้งคำถามหนักขึ้น เรื่องการใช้ทรัพยากรสิ้นเปลือง และการสร้างขยะมหาศาล H&M แบรนด์แฟชั่นสัญชาติสวีเดน เจ้าตลาดกว่า 70 ปี กำลังพยายามเปลี่ยนภาพลักษณ์ตัวเอง จาก ‘ตัวร้ายสิ่งแวดล้อม’ ไปสู่การเป็นผู้นำด้านแฟชั่นยั่งยืนแห่งอนาคต

 

อุตสาหกรรมแฟชั่นทั่วโลก ถูกประเมินว่าสร้างมลภาวะสูง คิดเป็นราว 8–10% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโลก มากกว่าการบิน และการขนส่งทางเรือรวมกันเสียอีก เสื้อผ้านับหลายหมื่นล้านชิ้น ถูกผลิตเกินความจำเป็น และส่วนใหญ่ถูกสวมใส่เพียงไม่กี่ครั้ง ก่อนถูกทิ้ง ทำให้เกิดขยะสิ่งทอมหาศาลที่โลกต้องแบกรับ 

ปัญหาเหล่านี้กลายเป็นแรงกดดันสำคัญ ที่ผลักดันให้ ต้องพิสูจน์ว่าความทะเยอทะยาน ด้าน ‘Sustainable Fashion’ ของตนไม่ใช่เพียงภาพลักษณ์ แต่คือการเปลี่ยนแปลงที่จับต้องได้จริง

[ผลกระทบของแฟชั่น ต้นทุนที่โลกต้องแบก]

อุตสาหกรรมแฟชั่น ไม่เพียงปล่อยก๊าซเรือนกระจกปริมาณมหาศาล แต่ยังใช้น้ำมหาศาลเป็นอันดับสองของโลก ตามข้อมูล การผลิตผ้าฝ้ายเพียงหนึ่งกิโลกรัม ต้องใช้น้ำถึงหลายพันลิตร ขณะเดียวกัน การซักเสื้อผ้าสังเคราะห์ อย่างโพลีเอสเตอร์ก็ปล่อยไมโครไฟเบอร์ลงสู่ทะเล ซึ่งกลายเป็นขยะไมโครพลาสติก ที่ส่งผลกระทบยาวนานต่อสิ่งแวดล้อม และสุขภาพของมนุษย์

แฟชั่นหมุนเร็ว ทำให้เสื้อผ้าจำนวนมหาศาล ถูกผลิตออกมาทุกปี มีการประเมินว่า อาจสูงถึงราว 80-100 พันล้านชิ้นทั่วโลก แต่มีไม่ถึง 1% ที่ถูกรีไซเคิล ที่เหลือจำนวนมาก ถูกทิ้งลงหลุมฝังกลบ หรือถูกส่งต่อไปยังประเทศกำลังพัฒนา 

จนบางพื้นที่กลายเป็น ‘สุสานเสื้อผ้า’ ปัญหาเหล่านี้ยิ่งตอกย้ำว่า ต้นทุนที่แท้จริงของแฟชั่นราคาถูก คือสิ่งแวดล้อมที่ต้องจ่ายแทน

[ผู้บริโภคอยากยั่งยืน H&M จะตอบโจทย์ได้อย่างไร]

ผู้บริโภครุ่นใหม่ โดยเฉพาะ Millennials และ Gen Z แสดงออกชัดเจนว่า ต้องการสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม งานวิจัยหลายชิ้น ระบุว่า หากราคาสินค้าใกล้เคียงกัน ผู้ซื้อจำนวนมากพร้อมจะเลือกแบรนด์ที่โปร่งใส และมีมาตรฐานด้านความยั่งยืน ความสนใจนี้ กำลังกลายเป็นแรงผลักสำคัญ ที่เปลี่ยนทิศทางของตลาดแฟชั่นทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม ความเป็นจริงยังสะท้อนช่องว่างระหว่าง ‘สิ่งที่ผู้บริโภคบอกว่าต้องการ’ และ ‘สิ่งที่ซื้อจริง’ เพราะความสะดวก และราคายังคงมีอิทธิพลมากกว่า โจทย์ใหญ่ของ H&M คือการทำให้ความยั่งยืนไม่ใช่เรื่องหรูหรา แต่เป็นสิ่งที่จับต้องได้จริงในชีวิตประจำวัน

และเพื่อเชื่อมทัศนคติกับพฤติกรรมจริง H&M ได้ขยายตัวเลือกใหม่ๆ เช่น การเปิดตลาดสินค้ามือสอง ร่วมกับแพลตฟอร์ม ThredUp และการนำสินค้ามือสองวางจำหน่ายจริงในบางสาขา รวมถึงการลงทุนในโมเดลธุรกิจหมุนเวียน ที่เติบโตขึ้นในปี 2024 คิดเป็น 0.6% ของยอดขาย แม้จะยังเป็นเพียงก้าวเล็กๆ แต่ก็สะท้อนการเปลี่ยนทิศทางสู่การตอบสนองผู้บริโภคที่อยากเลือกยั่งยืน

พร้อมกันนี้ H&M ยังนำเทคโนโลยี AI และ digital product creation มาใช้คาดการณ์ความต้องการสินค้า และปรับการผลิตให้สอดคล้อง เพื่อลดของเสีย และหลีกเลี่ยงการผลิตเกินจำเป็น 

[จากคำมั่นสู่การลงมือจริง]

รายงานความยั่งยืนปี 2024 ของ H&M สะท้อนความก้าวหน้าในหลายด้าน ที่จับต้องได้จริง อย่างการลดการปล่อยก๊าซ บริษัทสามารถลดการปลดปล่อยก๊าซ ที่เกิดจากการดำเนินงานของตัวเอง และการใช้ไฟฟ้า (Scope 1 และ Scope 2) ลงได้ถึง 41% เมื่อเทียบกับปี 2019 

ทั้งนี้ การปล่อยก๊าซจากห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งเป็นสัดส่วนใหญ่ที่สุด (Scope 3) ก็ลดลง 24% ในช่วงเวลาเดียวกัน ขณะเดียวกัน H&M ยังใช้พลังงานไฟฟ้าหมุนเวียนแล้วเกือบทั้งหมด คิดเป็น 96% ของการใช้ไฟฟ้าทั้งองค์กร

เช่นเดียวกับ การใช้วัสดุจากแหล่งที่ยั่งยืน หรือวัสดุรีไซเคิลแล้ว 89% ของการผลิตทั้งหมด โดยเกือบ 30% มาจากวัสดุรีไซเคิล ซึ่งเกือบทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้สำหรับปี 2025 ก่อนกำหนด โพลีเอสเตอร์ที่ใช้ในการผลิตสินค้าแทบทั้งหมด ก็มาจากการรีไซเคิล และบริษัทยังคงตั้งเป้าว่าภายในปี 2030 วัสดุที่ใช้ทั้งหมดจะต้องเป็นรีไซเคิลหรือยั่งยืน 100%

นอกจากนี้ H&M ยังลงทุนในธุรกิจรีไซเคิลใหม่ เช่น การสนับสนุน Syre บริษัทเคมีรีไซเคิลที่กำลังจะเปิดโรงงานผลิตโพลีเอสเตอร์หมุนเวียนในสหรัฐฯ ภายในปีนี้ และได้ลดการใช้ถ่านหินในซัพพลายเชนลงอย่างมาก จาก 118 เครื่องเหลือเพียง 27 เครื่อง พร้อมตั้งเป้ายกเลิกทั้งหมดภายในปี 2026

[ความท้าทายใหญ่ที่รอการพิสูจน์]

แม้ H&M จะแสดงความก้าวหน้า แต่เส้นทางสู่การเป็นผู้นำ sustainable fashion ยังเต็มไปด้วยอุปสรรค เป้าหมายลดการปล่อยก๊าซลง 56% ภายในปี 2030 และ 90% ภายในปี 2040 ถือเป็นความท้าทายอย่างยิ่ง เพราะหากการผลิต และรายได้ยังคงเติบโตต่อเนื่อง ปริมาณการปล่อยก๊าซก็จะยากที่จะลดลงตามเป้าที่ตั้งไว้ 

ขณะเดียวกัน โมเดลธุรกิจหมุนเวียน ยังคิดเป็นเพียงสัดส่วนเล็กน้อยของรายได้ และอุตสาหกรรมรีไซเคิลสิ่งทอ ก็ยังไม่พร้อมในระดับอุตสาหกรรม

ยิ่งไปกว่านั้น อุตสาหกรรมแฟชั่นโดยรวมยังไม่ขยับตามทิศทางที่ควรจะเป็น รายงานของ Apparel Impact Institute ระบุว่าในปี 2023 การปล่อยก๊าซของอุตสาหกรรมแฟชั่นทั่วโลก กลับเพิ่มขึ้นถึง 7.5% รวมเป็น 944 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ เทียบเท่า หรือ ราว 2% ของการปล่อยทั่วโลก 

การเพิ่มขึ้นครั้งนี้ สะท้อนว่า ความพยายามของแบรนด์ใหญ่อย่าง H&M แม้จะสำคัญ แต่ยังไม่เพียงพอ หากทั้งอุตสาหกรรมไม่เปลี่ยนไปพร้อมกัน

[‘บทสรุป’ ระหว่างภาพฝันและความจริง]

H&M กำลังเดินบนเส้นทางที่ยากที่สุด สำหรับแบรนด์ fast fashion การเปลี่ยนจากการผลิตจำนวนมาก ราคาถูก และหมุนเวียนเร็ว มาสู่การเป็นผู้นำด้านแฟชั่นยั่งยืนไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ความก้าวหน้าที่ปรากฏ ทั้งการลดก๊าซเรือนกระจก การลงทุนในวัสดุหมุนเวียน และการปรับซัพพลายเชน ล้วนสะท้อนทิศทางใหม่ที่น่าจับตา

คำถาม คือ H&M จะสามารถเปลี่ยนจาก “คำมั่นในรายงาน” ไปสู่ “การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง” ได้จริงหรือไม่ ซึ่งหากทำสำเร็จ H&M อาจกลายเป็นต้นแบบที่พิสูจน์ได้ว่าแม้แต่แบรนด์ fast fashion ก็สามารถก้าวสู่อนาคตที่ยั่งยืนได้

แท็กที่เกี่ยวข้อง
PattananWriterPattanan

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง