ในงานเสวนา SUSTAIN City : AGE of AI พลิกโฉมเมืองใหม่ สร้างทุกสิ่งให้ยั่งยืน จัดโดยสำนักข่าว TODAY มีเซสชั่นหนึ่งที่พูดคุยเรื่อง AI ที่กระทบต่อมนุษย์โดยตรง โดย รศ.ดร.อรรถพล ธำรงรัตนฤทธิ์ อาจารย์ภาควิชาภาษาศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
การตกงานเพราะ AI ทำงานแทนได้เกิดขึ้นจริงแล้วในหลายประเทศทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยด้วย โมเดล AI ทั้ง ChatGPT, Gemini, Claude ฯลฯ ใช้เวลาน้อยลงมากในการพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ โมเดล GPT-5 ใหม่ล่าสุดก็มีการเคลมกันว่าฉลาดเท่าคนจบปริญญาเอก
ถ้า AI ฉลาดขนาดนี้ ที่ทางของมนุษย์จะอยู่ตรงไหน ทักษะและความสามารถของเรายังมีความสำคัญอยู่ไหม
[ AI ยังไม่เก่งถึงขั้น “ปริญญาเอก” ซึ่งเป็นเรื่องดี ]
เรามักได้ยินกันว่า GPT-5 มีความรู้เทียบเท่าระดับปริญญาเอก (เคลมโดย Sam Altman ผู้ก่อตั้ง Open AI) แต่จากการใช้งานจริง หลายคนพบว่าความจริงมันซับซ้อนกว่านั้น เมื่อนำGPT-5 ไปทดสอบด้วยข้อสอบระดับปริญญาเอกของจริงในสาขาต่างๆ เช่น ชีววิทยา เคมี และวรรณกรรม ผลปรากฏว่า AI ยังคงมีประสิทธิภาพต่ำกว่าผู้เชี่ยวชาญที่เป็นมนุษย์อย่างมีนัยสำคัญ
ความสามารถที่แท้จริงของ AI ในปัจจุบันนั้นเทียบได้กับระดับปริญญาตรีหรือปริญญาโทมากกว่า คือมีทักษะหลากหลายด้าน เช่น การวิเคราะห์, การคิดสร้างสรรค์, การค้นหาข้อมูล, การสรุปความ, การทำความเข้าใจตัวบท (text) และการวิพากษ์วิจารณ์ แต่ยังขาดความรู้เชิงลึกเฉพาะทางในระดับสูงสุด
ความคิดสร้างสรรค์จากประสบการณ์ตรงของมนุษย์ที่ AI ไม่มี
จุดแข็งของ AI คือเรียนรู้จากข้อมูลที่มีมาก่อนแล้ว แต่สิ่งที่ AI ยังไม่มี (ในตอนนี้) คือประสบการณ์ตรงของมนุษย์
รศ.ดร.อรรถพล มองว่าความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว งอกงามมาจากสิ่งที่ไม่สามารถคัดลอกได้ นั่นคือประสบการณ์ชีวิต ภูมิหลัง และมุมมองส่วนตัว “เวลาคนเรา เรามีความคิดสร้างสรรค์ มันก็จะมีเกี่ยวกับประสบการณ์ส่วนตัว ภูมิส่วนตัว การมุมมองต่างๆ ที่ต่างกัน ทำให้ความคิดที่มันออกมามีความสร้างสรรค์จริงๆ ประสบการณ์ชีวิต คือสินทรัพย์ที่มีค่าที่สุดในยุค AI เพราะมันคือบ่อเกิดของความคิดสร้างสรรค์ที่แท้จริง ซึ่ง AI ไม่สามารถจำลองขึ้นมาได้”
[ มาตรฐานใหม่ของการทำงาน: “ต้องดีกว่าที่ AI ทำ ]
รศ.ดร.อรรถพล เล่าถึงกลยุทธ์การสอนเมื่อมีงานที่มอบหมายให้นิสิต เขาจะสั่งให้ AI ทำงานชิ้นนั้นให้ดูก่อน แล้วนำผลลัพธ์มาแสดงให้ทุกคนเห็นพร้อมกับบอกว่า “นี่คือตัวอย่างของคำตอบที่จะได้ 0 คะแนน”
เป้าหมายของมนุษย์ในยุคนี้จึงไม่ใช่การแข่งขันหรือหลีกเลี่ยงการใช้ AI แต่คือการใช้ผลลัพธ์ของ AI เป็นมาตรฐานขั้นต่ำใหม่ แล้วสร้างสรรค์ผลงานที่เหนือกว่านั้นขึ้นไปให้ได้ เปลี่ยนจากการมอง AI เป็นคู่แข่ง ไปสู่การมองว่ามันคือฐานที่เราต้องก้าวข้ามไป
เพราะถ้าทำไม่ได้ดีกว่า AI จะทำไปทำไม
[ การจะก้าวข้าม AI ได้ ต้องเข้าใจ ปรากฏการณ์ “AI Divide” ]
เกิดความเหลื่อมล้ำรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า “AI Divide” หรือ “AI Gap” แม้ว่าการเข้าถึง AI จะเป็นเรื่องง่ายและไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่ประสิทธิภาพในการใช้งานกลับแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญตามสถานะทางเศรษฐกิจและสังคม โดยกลุ่มคนชั้นกลางถึงสูงมีแนวโน้มที่จะใช้ AI สำหรับการทำงานและเขียนคำสั่ง (Prompt) ที่ละเอียดซับซ้อนกว่า ส่งผลให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่ากลุ่มอื่น
ช่องว่างที่เกิดขึ้นนี้จึงไม่ได้อยู่ที่การเข้าถึง แต่อยู่ที่การใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ นี่คือประเด็นทางสังคมที่สำคัญอย่างยิ่ง
ภาคการศึกษาต้องมีบทบาทสำคัญในการสอนให้ทุกคน ทุกชนชั้น สามารถใช้เครื่องมือ AI ได้อย่างเต็มศักยภาพ เพื่อลดช่องว่าง “AI Divide” และเตรียมความพร้อมสำหรับตลาดแรงงานในอนาคต










