ฮ่องกงลุยหนัก Cyberport ปั้นเศรษฐกิจเทคโนโลยี บทเรียนสตาร์ทอัพไทย

ฮ่องกงลุยหนัก Cyberport ปั้นเศรษฐกิจเทคโนโลยี บทเรียนสตาร์ทอัพไทย

ขณะที่ฮ่องกงกำลังเร่งลงทุนครั้งใหญ่เพื่อปั้น “เศรษฐกิจเทคโนโลยี” ผ่านโครงการ Cyberport  ศูนย์กลางบ่มเพาะสตาร์ทอัพด้าน Fintech และ AI ที่ใหญ่ที่สุดของภูมิภาค 

ประเทศไทยกำลังอยู่ในจุดหัวเลี้ยวหัวต่อของการพัฒนาระบบนิเวศสตาร์ทอัพ ที่ยังถูกมองว่าตื้นและกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มทุนใหญ่

คำถามคือ ไทยสามารถเรียนรู้จากโมเดล Cyberport ได้อย่างไร เพื่อเปลี่ยนจากระบบที่พึ่งทุนใหญ่ไปสู่ระบบที่สร้างทุนใหม่ได้บ้าง?

TODAY Bizview ได้บินไปร่วมงาน Cyberport Venture Capital Forum 2025 และได้พูดคุยกับ  ‘Mr Johnny Chan’ Chief Investment Officer of Hong Kong Cyberport Management Company Limited แล้วจะสรุปความเห็นเรื่องสตาร์ทอัพไทยให้ครบจบผ่านบทความนี้

[ ระบบนิเวศสตาร์ทอัพไทย ยังตื้นและผูกขาด ]

“สตาร์ทอัพไทยมีข้อจำกัด  เพราะถ้านายทุนใหญ่ในประเทศมาก็จะต้องให้มีการไปคอลแลปกับธุรกิจของเขา” ความเห็นของ ‘Mr Johnny Chan’ ที่มีต่อสตาร์ทอัพในประเทศไทย

โดยเขาเล่าให้ฟังถึง ภาพรวมสตาร์ทอัพไทยจะมีสตาร์ทอัพหลายรายที่เติบโตจนเข้าตลาดหลักทรัพย์ หรือได้ทุนจากองค์กรใหญ่ แต่ภาพรวมของ VC ecosystem ยังถือว่า “ตื้นเขิน” ส่วนใหญ่เป็นเงินลงทุนจาก Corporate VC (CVC) ที่มาพร้อมเงื่อนไขต้องใช้ทรัพยากรขององค์กรแม่ เช่น ต้องร่วมโปรเจ็กต์กับบริษัทนั้นๆ หรืออยู่ในเครือเดียวกันกับผู้ลงทุน

นั่นหมายความว่า สตาร์ทอัพจำนวนมากยังขาด “อิสระเชิงทุน” และ “พื้นที่ทดลองจริง” ตรงกันข้ามกับฮ่องกง ที่เลือกสร้าง เลเยอร์เชิงโครงสร้าง (Structural Layer) และ เลเยอร์การลงทุน (Investment Layer) ขึ้นมาจากศูนย์ ผ่าน Cyberport ซึ่งกลายเป็นหัวใจของการยกระดับเศรษฐกิจนวัตกรรมทั้งประเทศ

“Cyberport ไม่ได้เป็นแค่ศูนย์บ่มเพาะ แต่คือ โครงสร้างพื้นฐานของเศรษฐกิจดิจิทัลฮ่องกง” Mr Johnny Chan กล่าว

[ Cyberport ลงทุนในเทคโนโลยีเชิงลึกและโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อพัฒนาสตาร์ทอัพฮ่องกง ]

‘Mr Johnny Chan’ ยังยกภาพตัวอย่างของ Cyberportเริ่มต้นจากการวางรากฐานด้านโครงสร้างเทคโนโลยีอย่างจริงจัง ฮ่องกงลงทุนกว่า 3,000 ล้านดอลลาร์ฮ่องกงหรือราวๆ 12,412 ล้านบาทไทย ในการสร้างศูนย์ซูเปอร์คอมพิวเตอร์แห่งแรก (AISC) เพื่อรองรับโปรเจกต์ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ทั้งจากสตาร์ทอัพ มหาวิทยาลัย และบริษัทเทคขนาดใหญ่

นอกจากนี้ ยังลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานกายภาพ เช่น Cycle 5 Building ซึ่งจะเพิ่มพื้นที่ของ Cyberport ขึ้นอีกกว่า 60% เพื่อรองรับสตาร์ทอัพรุ่นใหม่ที่เน้นด้าน AI และ Fintech เป็นหลัก โดยทุกบริษัทที่เข้าร่วมบ่มเพาะในโครงการ ต้องมีองค์ประกอบของ AI อยู่ในผลิตภัณฑ์หรือบริการ

เพราะฮ่องกงมองว่า “เทคโนโลยีเชิงลึก” คือสินทรัพย์ระยะยาว ไม่ใช่โครงการทดลองสั้นๆ และนี่คือสิ่งที่ไทยยังไม่เริ่มลงทุนอย่างจริงจัง

นอกจากนี้ Cyberport ไม่ได้พึ่งแค่ทุนรัฐหรือทุนเอกชนใดทุนหนึ่งแต่สร้างชั้นทุนที่ต่อเนื่องและหลากหลาย ตั้งแต่ เงินบ่มเพาะระยะต้น (Incubation Grant) สูงสุด 1.1 ล้านดอลลาร์ฮ่องกงต่อบริษัทไปจนถึง Cyberport Investor Network (CIN) สำหรับการลงทุนในระยะ Series A ถึง Series C

มากไปกว่านั้น Cyberport ใช้เครือข่ายนักลงทุนภายนอกอย่าง China Cyberport Investor Network (CIN) เพื่อ “Leverage” เงินทุนได้มหาศาล โดยทุกๆ 1 ดอลลาร์ที่ Cyberport ลงทุน สามารถดึงเงินจากนักลงทุนภายนอกได้ใกล้เคียง 10 ดอลลาร์ ก็หมายความว่า “ทุนหนึ่งก้อนจากรัฐ” กลายเป็น “ทุนสิบก้อนจากตลาด” สร้างผลกระทบต่อระบบนิเวศอย่างมหาศาล

[ ฮ่องกงยังได้เปรียบเรื่องต้นทุนแรงงาน ]

อย่างไรก็ตาม ‘Mr Johnny Chan’ ยังบอกอีกว่า ฮ่องกงมีข้อได้เปรียบด้านตลาดทุนและบุคลากร เพราะมีเส้นทาง Exitที่ชัดเจนกว่าประเทศในอาเซียนส่วนใหญ่ ด้วยสถานะเป็น ตลาด IPO อันดับหนึ่งของโลก (ข้อมูล ณ ต.ค. 2025) ทำให้เวลาการ Exit สั้นลง และเพิ่ม IRR (ผลตอบแทนการลงทุน) สำหรับ VC และ PE ได้มาก

ในด้านบุคลากร ฮ่องกงเปิดโครงการ Talent Admission Scheme ดึงดูดผู้เชี่ยวชาญกว่า ครึ่งล้านคนใน 3 ปี โดยกว่า 300,000 คนได้ย้ายเข้ามาแล้ว ส่วนใหญ่เป็นสายเทคโนโลยี ประกอบกับระบบภาษีต่ำ คุณภาพชีวิตสูง และสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการใช้ชีวิต ทำให้ฮ่องกงยังคงดึงดูดTech Founderได้ต่อเนื่อง

[ ถอดบทเรียน 4 ด้านที่สามารถใช้พัฒนาสตาร์ทอัพในไทยได้ ]

และจากสิ่งที่ ‘Mr Johnny Chan’ เล่าให้ฟัง โมเดล Cyberport ของฮ่องกง ที่ไทยสามารถนำมาปรับใช้ได้อย่างน้อย 4 ด้านสำคัญ อาทิ 

          • สร้างโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีระดับชาติ (Invest in AISC-equivalent) ลงทุนใน Supercomputer หรือ Data Center เพื่อเป็นฐานให้สตาร์ทอัพด้าน AI และ Data-driven services ได้ทดลองจริง ไม่ใช่แค่สร้าง Co-working space
          • จัดตั้งกองทุนอิสระ (Independent Macro Fund) เพื่อปลดล็อกระบบทุนจากการพึ่ง CVC และสร้างกลไกดึงดูดเงินร่วมลงทุนจากเครือข่ายต่างชาติแบบ Cyberport CIN
          • เน้น Domain Expertise และ Vertical Innovation ส่งเสริมให้สตาร์ทอัพพัฒนาเชิงลึกในอุตสาหกรรมเฉพาะ เช่น AgriTech, HealthTech หรือ AI Logistics เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือในสายตานักลงทุน
          • พัฒนาเส้นทาง Exit และ Talent Program เชิงรุก ลดขั้นตอน IPO สำหรับสตาร์ทอัพ และใช้ข้อได้เปรียบด้านคุณภาพชีวิตของไทย สร้างโครงการดึงดูดผู้เชี่ยวชาญเทคโนโลยีจากต่างชาติอย่างเป็นระบบ

สุดท้ายแล้ว หากถอดบทเรียนจาก Cyberport มาปรับใช้กับระบบสตาร์ทอัพของไทยสิ่งสำคัญคงไม่ใช่เพียง “การอัดฉีดเงินทุนระยะสั้น” แต่คือการ “ลงทุนในความลึกของระบบ” ตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐาน เงินทุน ไปจนถึงการพัฒนาคนเพื่อสร้างระบบนิเวศที่เชื่อมโยงกันและเอื้อต่อการเติบโตจริง

เพราะหากไทยต้องการก้าวไปไกลกว่าคำว่า Start-up Nation สิ่งที่เราควรมุ่งสู่ อาจไม่ใช่แค่การมีสตาร์ทอัพจำนวนมาก แต่คือการสร้าง Deep Nation ประเทศที่มีรากฐานทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมลึกพอจะผลักดันให้ผู้ประกอบการไทยเติบโตอย่างยั่งยืนในภูมิภาคนี้ได้จริง

แท็กที่เกี่ยวข้อง
AyosiriWriterAyosiri
เป็นนักข่าวการเงิน สนใจเรื่องการลงทุนและการตลาด ประวัติศาสตร์ อยากสื่อสารให้เรื่องเป็นเงินสำหรับทุกคน

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง