อีก 2 ปี AI Deepfakes อาจทำให้การยืนยันตัวตนด้วย ‘ใบหน้า’ อย่างเดียวใช้ไม่ได้แล้ว เพราะหลายๆ องค์กรเริ่มมองว่า “ไม่น่าเชื่อถือ”
ตอนนี้วิธีการยืนยันตัวตนมีหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการยืนยันด้วยบัตรประชาชน หรือด้วยไบโอเมตริกซ์ประเภทต่างๆ อย่างเช่น ลายนิ้วมือ หรือที่ยอดนิยมมากอย่าง ‘ใบหน้า’
แต่เร็วๆ นี้การยืนยันตัวตนด้วย ‘ใบหน้า’ เพียงอย่างเดียว ไม่มีองค์ประกอบอื่นๆ อาจจะทำไม่ได้แล้ว เพราะความน่าเชื่อถือที่ลดลงๆ เรื่อยๆ จากการเติบโตของ AI
โดย ‘การ์ทเนอร์’ คาดว่า อีก 2 ปีข้างหน้า (ปี 2569) การเข้ามาของ Deepfakes ที่สร้างจาก AI จะทำให้องค์กรกว่า 30% มองว่า การยืนยันและพิสูจน์ตัวตนด้วย ‘ใบหน้า’ เพียงอย่างเดียวไม่น่าเชื่อถืออีกต่อไป
‘อากิฟ ข่าน’ รองประธานฝ่ายวิจัยการ์ทเนอร์ อธิบายว่า AT ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนสำคัญหลายอย่าง และหนึ่งในนั้นคือ การสร้างภาพลังเคราะห์ขึ้น รวมถึง ‘ภาพใบหน้าคนปลอมๆ’ ที่เรียกว่า ‘Deepfakes’ ที่เปิดช่องให้ผู้ไม่ประสงค์ดี นำมาใช้ทำลายระบบพิสูจน์ทราบตัวตนด้วยไบโอเมตริกซ์ หรือทำให้ระบบใช้ได้ไม่มีประสิทธิภาพ
ผลที่ตามมา คือ องค์กรต่างๆ อาจเริ่มตั้งคำถามถึงความน่าเชื่อถือในการยืนยันและพิสูจน์ตัวตน เพราะไม่สามารถบอกได้ว่า “ใบหน้าบุคคลที่ได้รับการยืนยันนั้นเป็นบุคคลที่มีชีวิตจริงหรือเป็นของปลอมกันแน่”
เนื่องจากกระบวนการยืนยันด้วยตัวด้วยใบหน้า อาศัยสิ่งที่เรียกว่า ‘การตรวจจับการโจมตีหลอก’ หรือ Presentation Attack Detection (PAD) เพื่อประเมินว่าผู้ใช้มีอยู่จริง แต่ไม่ครอบคลุมการโจมตีที่มาจาก Deepfakes ที่สร้างโดย AI
โดยการ์ทเนอร์ประเมินว่า ในอนาคตอันใกล้องค์กรจะต้องเตรียมทีมให้พร้อมรับมือกับการคุกคามโดย Deepfakes รวมไปถึงเพิ่มเครื่องมือตรวจจับแบบ Injection Attack Detection (IAD) และ Image Inspection เครื่องมือตรวจสอบรูปภาพร่วมกัน เพื่อลดปัญหาและโอกาสการคุกคามจาก Deepfake
จะเห็นว่าการเข้ามาของ AI เริ่มกลายเป็นจุดเปลี่ยนของหลายๆ ระบบที่เราใช้อยู่เดิม ทำให้ทุกๆ หน่วยในทุกๆ อุตสาหกรรมต้องปรับตัวอย่างเร่งด่วน รองรับกับโลกยุค AI ที่จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป










