เมื่อวันอาทิตย์ (9 พ.ย.) ตำรวจไซเบอร์เปิดปฏิบัติการปิดล้อมและตรวจค้นพร้อมกัน 36 จุด ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและจังหวัดตราด เป้าหมายคือกลุ่มบุคคลที่ถูกสงสัยว่ามีความเชื่อมโยงกับเครือข่ายฟอกเงินของ ‘ลี ยงพัด’ สมาชิกวุฒิสภากัมพูชาและนักธุรกิจรายใหญ่ของเกาะกง หลังสืบพบหลักฐานบ่งชี้ถึงความเชื่อมโยงกับขบวนการฟอกเงินข้ามชาติ และเครือข่ายธุรกิจสีเทาที่ดำเนินกิจการอยู่ในประเทศกัมพูชา
ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง เจ้าหน้าที่จาก กองบัญชาการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) และ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) สามารถตรวจยึดและอายัดทรัพย์สินได้จำนวนมาก ทั้งห้องชุดคอนโดฯ หรูย่านสุขุมวิท 4 ห้อง (มูลค่า 40–120 ล้านบาทต่อห้อง), รถยนต์หรู Mercedes-Benz G400d (12 ล้านบาท), ที่ดินและบ้านพักในตราด รวมถึงเงินฝากกว่า 88.2 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่าทรัพย์สินที่ถูกอายัดรวมกว่า 400 ล้านบาท
ปฏิบัติการดังกล่าวได้รับความสนใจจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ ไม่เพียงเพราะมูลค่าทรัพย์สินที่สูงผิดปกติ แต่เนื่องจากผู้ถูกกล่าวหาคือบุคคลที่มีสถานะเป็นถึง ‘วุฒิสมาชิกกัมพูชา’ และเจ้าของอาณาจักรธุรกิจ LYP Group ที่มีทั้งรีสอร์ต คาสิโน และนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในจังหวัดเกาะกง ซึ่งครั้งหนึ่งเคยได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด แต่วันนี้เขากลับตกอยู่ในฐานะจุดศูนย์กลางของเครือข่ายทุนเทาระดับภูมิภาค
จากนักธุรกิจสู่ผู้ทรงอิทธิพลทางการเมือง
ลี ยงพัด (Ly Yong Phat) หรือ ชื่อตามเอกสารราชการไทย ว่า พัด สุภาภา (Phat Suphapha) เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2501 ที่จังหวัดเกาะกง ประเทศกัมพูชา ในครอบครัวเชื้อสายจีน–ไทย ครอบครัวของเขาเป็นหนึ่งในชาวกัมพูชาจำนวนมากที่อพยพหนีสงครามเข้ามาอาศัยอยู่ในจังหวัดตราด และได้รับสัญชาติไทยในเวลาต่อมา ก่อนจะกลับไปสร้างฐานะทางธุรกิจในบ้านเกิด
หลังปี พ.ศ. 2536 ลี ยงพัด เริ่มต้นพัฒนาโครงการโรงแรม รีสอร์ต และกาสิโน บนพื้นที่กว่า 1,000 ไร่ที่ชายแดนเกาะกง–ตราด ก่อนจะก่อตั้ง บริษัท แอลวายพี กรุ๊ป (L.Y.P. Group) ซึ่งขยายกิจการจากเกษตรกรรมไปสู่อสังหาริมทรัพย์ พลังงาน การท่องเที่ยว และธุรกิจกาสิโน เช่น Koh Kong Resort, Phnom Penh Hotel และ Garden City Hotel จนขยายกลายเป็นอาณาจักรธุรกิจข้ามสาขาของกัมพูชา
ความมั่งคั่งเปิดทางให้ ลี ยงพัด เข้าสู่แวดวงอำนาจทางการเมือง อย่างรวดเร็ว เขาได้รับตำแหน่ง ออกญา ซึ่งเป็นคำนำหน้าที่กษัตริย์กัมพูชามอบให้แก่นักธุรกิจผู้สนับสนุนรัฐ และภายหลังเลื่อนเป็น เนียะออกญา ซึ่งเป็นขั้นสูงกว่า ที่จะมอบให้กับผู้ที่บริจาคเงินหรือสนับสนุนรัฐบาลในระดับหลายล้านดอลลาร์
จนปี พ.ศ. 2549 ลี ยงพัด ได้รับเลือกตั้งเป็น สมาชิกวุฒิสภา ในนามพรรคประชาชนกัมพูชา (CPP) ซึ่งมี สมเด็จฮุน เซน เป็นผู้นำ และต่อมาได้รับแต่งตั้งเป็น ที่ปรึกษาส่วนตัวของฮุน เซน (พ.ศ. 2565) รวมถึง ที่ปรึกษาส่วนตัวของนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต (พ.ศ. 2566)
ด้วยอำนาจทางการเมืองและเครือข่ายทุน ลี ยงพัด ได้รับสัมปทานที่ดินและโครงการขนาดใหญ่ ทั้งในเกาะกงและกำปงสปือ แม้ถูกตั้งคำถามเรื่องการใช้แรงงานและผลกระทบสิ่งแวดล้อม แต่เขายังคงเติบโตในฐานะตัวอย่างชัดของ ‘ทุนนิยมพวกพ้อง’ (crony capitalism) ระบบเศรษฐกิจที่การเติบโตของธุรกิจขึ้นอยู่กับเส้นสายและอำนาจรัฐ ซึ่งเชื่อมโยงผลประโยชน์ระหว่างกลุ่มทุนและอำนาจทางการเมืองอย่างแนบแน่น
เดือนกันยายน พ.ศ. 2567 สหรัฐฯ ใช้กฎหมาย Global Magnitsky Act คว่ำบาตร ลี ยงพัด และบริษัท L.Y.P. Group ฐานเกี่ยวข้องกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน และการใช้แรงงานบังคับใน “โรงงานสแกมออนไลน์” ภายในรีสอร์ตในเครือ เช่น O-Smach Resort และ Garden City Hotel รัฐบาลกัมพูชาปฏิเสธข้อกล่าวหาโดยสิ้นเชิง แต่คำชี้แจงนั้นกลับตอกย้ำถึงสายสัมพันธ์ ระหว่างทุนใหญ่กับอำนาจทางการเมืองที่ยากจะแยกออกจากกัน
เครือข่ายทุนสีเทาและการขยายผลสู่ไทย
การขยายตัวของอาณาจักร L.Y.P. Group ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในกัมพูชา แต่ยังโยงใยเข้าสู่ธุรกิจและเครือข่ายทางการเงินในประเทศไทย ผ่านการลงทุน อสังหาริมทรัพย์ และเส้นทางการเงินที่ซับซ้อนระหว่างเกาะกง–ตราด
หลังจากสหรัฐอเมริกาประกาศคว่ำบาตร ลี ยงพัด ในปี พ.ศ. 2567 หน่วยงานไทยเริ่มขยายผลตรวจสอบเส้นทางเงินที่อาจเกี่ยวข้องกับเครือข่ายฟอกเงินข้ามชาติ จนวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568 ตำรวจไซเบอร์ (บช.สอท.) ร่วมกับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เปิดปฏิบัติการตรวจค้นพร้อมกัน 36 จุด ทั้งในกรุงเทพฯ และจังหวัดตราด เป้าหมายคือกลุ่มบุคคลที่มีความเชื่อมโยงกับ ลี ยงพัด หรือ นายพัด สุภาภา
การตรวจค้นครั้งนี้นำไปสู่การอายัดทรัพย์สินมูลค่ารวมกว่า 400 ล้านบาท ประกอบด้วยห้องชุดคอนโดมิเนียมหรูย่านสุขุมวิท 4 ห้อง มูลค่าห้องละ 40–120 ล้านบาท รถยนต์หรู Mercedes-Benz G400d มูลค่ากว่า 12 ล้านบาท รวมถึงบ้านพักและที่ดินในจังหวัดตราด พร้อมเงินฝากในบัญชีกว่า 88 ล้านบาท เบื้องต้นเจ้าหน้าที่พบว่าเครือข่ายดังกล่าวมีการแบ่งหน้าที่กันอย่างเป็นระบบ บางส่วนทำหน้าที่รับ–โอนผลประโยชน์จากธุรกิจสีเทาในกัมพูชาเข้าสู่ระบบการเงินไทย
คดีนี้นำไปสู่การออกหมายจับผู้ต้องหาทั้งหมด 5 ราย รวมถึง นายพัด สุภาภา หรือ ลี ยงพัด อายุ 67 ปี ในข้อหา ‘สมคบกันฟอกเงินและร่วมกันฟอกเงิน’ โดยข้อมูลจากตำรวจไซเบอร์ระบุว่า ผู้ต้องหาหลายรายได้หลบหนีออกนอกประเทศก่อนปฏิบัติการเริ่มขึ้น
ต่อมา วันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2568 กระทรวงมหาดไทยมีคำสั่ง ถอนสัญชาติไทยของนายพัด สุภาภา โดยให้เหตุผลว่าเป็นบุคคลที่มีพฤติการณ์กระทบต่อความมั่นคงของรัฐ และถูกคว่ำบาตรโดยรัฐบาลสหรัฐฯ ฐานเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ามนุษย์และหลอกลวงไซเบอร์ การเพิกถอนดังกล่าวถือเป็นหนึ่งในกรณีตัวอย่างที่รัฐไทยใช้มาตรการด้านสัญชาติ เพื่อตัดเส้นทางการคุ้มครองทางกฎหมายจากบุคคลที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมข้ามชาติ
ในทางสัญลักษณ์ ปฏิบัติการทลายเครือข่ายลี ยงพัด จึงสะท้อนการเคลื่อนไหวร่วมกันระหว่างรัฐบาลไทยกับนานาชาติ ในการจัดการทุนสีเทาที่แฝงอยู่ในระบบเศรษฐกิจภูมิภาค โดยเฉพาะกลุ่มทุนที่ใช้ความสัมพันธ์ทางการเมือง เพื่อปกปิดธุรกิจผิดกฎหมายที่เชื่อมโยงระหว่างกัมพูชา–ไทย
จากอาณาจักรเกาะกง ถึงคอนโดสุขุมวิท
คดีของ ลี ยงพัด ไม่ได้เป็นเพียงปฏิบัติการอายัดทรัพย์ของนักธุรกิจคนหนึ่ง แต่สะท้อนโครงสร้างอำนาจแบบซ้อนทับในภูมิภาค ที่เส้นแบ่งระหว่างทุน การเมือง และอาชญากรรมเริ่มพร่าเลือน ในกัมพูชา ลี ยงพัด คือตัวอย่างของทุนใหญ่ที่เติบโตจากระบบอุปถัมภ์ทางการเมือง และได้รับการคุ้มครองจากอำนาจรัฐ ขณะที่ในสายตานานาชาติ เขากลายเป็นสัญลักษณ์ของ ‘ทุนสีเทา’ ที่เชื่อมโยงกิจกรรมผิดกฎหมายเข้ากับเศรษฐกิจในโลกจริง ตั้งแต่คาสิโนออนไลน์ ไปจนถึงโรงงานสแกมที่ใช้แรงงานข้ามชาติเป็นเครื่องมือ
การที่ไทยเข้ามามีบทบาทในปฏิบัติการครั้งนี้ จึงมีความหมายมากกว่าการยึดทรัพย์ แต่คือสัญญาณว่ารัฐไทยกำลังขยับเข้าสู่แนวร่วมปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งสหรัฐฯ ผลักดันอย่างจริงจังผ่านกรอบ Global Magnitsky Act และรายงาน Trafficking in Persons (TIP) เพื่อตัดเส้นทางการเงินของเครือข่ายค้ามนุษย์และสแกมเมอร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ในอีกด้าน หน่วยงานความมั่นคงไทยก็จับตาว่าทุนสีเทาเหล่านี้ อาจฝังรากอยู่ในระบบเศรษฐกิจชายแดน ผ่านการถือครองที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ หรือการลงทุนแฝงในกิจการท่องเที่ยวและพลังงาน ซึ่งไม่เพียงส่งผลทางเศรษฐกิจ แต่ยังเชื่อมโยงกับความมั่นคงระดับภูมิภาค
คดี ลี ยงพัด จึงไม่ใช่แค่เรื่องของบุคคล แต่คือภาพสะท้อนของภูมิทัศน์ใหม่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ทุน การเมือง และผลประโยชน์ข้ามชาติหลอมรวมกันอย่างแนบแน่น ซึ่งอาจกำหนดทิศทางของภูมิรัฐศาสตร์ในอนาคต นี่จึงเป็นบทเรียนสำคัญของภูมิภาคถึงความอันตรายของทุนที่เติบโตอย่างไร้การตรวจสอบภายใต้การคุ้มครองของอำนาจรัฐ










