‘บางจาก’ ปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ มุ่งเพิ่ม EBITDA โตเท่าตัวแตะ 8 หมื่นล้านใน 3 ปี

‘บางจาก’ ปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ มุ่งเพิ่ม EBITDA โตเท่าตัวแตะ 8 หมื่นล้านใน 3 ปี

ธุรกิจ

ท่ามกลางความผันผวนทางภูมิรัฐศาสตร์ ราคาพลังงานที่ไม่แน่นอน และแรงกดดันจากการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด ‘บางจาก คอร์ปอเรชั่น’ ประกาศกลยุทธ์ใหม่ที่มีชื่อว่า “Accelerating Bangchak 100x : Pivoting for Energy Security and Sustainability”

เพราะในวันนี้ความท้าทายที่ต้องเจอไม่ได้ง่ายเหมือนเดิมอีกแล้ว กลยุทธ์นี้จึงไม่เพียงแต่เป็นการวางหมากธุรกิจเพื่อการเติบโตในระยะยาว แต่คือการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ของบางจากในรอบหลายปีด้วย

[ สินทรัพย์หมื่นล้านสู่แสนล้าน ]

‘ชัยวัฒน์ โควาวิสารัช’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบางจากฯ เล่าถึงภาพรวมให้ฟังว่า ในช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมาจากความสามารถในการดำเนินงานบริษัทสามารถขยายสินทรัพย์จากเดิมที่ 59,000 ล้านบาทในปี 2553 มาเป็นกว่า 316,000 ล้านบาทในปี 2567

และยังมีธุรกิจที่ครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำในกว่า 10 ประเทศทั่วโลก ความสำเร็จนี้สะท้อนว่า ‘บางจาก’ มีการปรับตัวและการเติบโตที่ต่อเนื่องมาตลอดระยะเวลาหลายปี

ถึงแม้ว่าบางจากจะประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง องค์กรก็ยังวางเป้าหมายใหม่เพื่อพา ‘บางจาก’ เติบโตไปอีกขั้น โดยเฉพาะการขับเคลื่อนสู่พลังงานสะอาดและการลดการปล่อยคาร์บอนในระยะยาว แต่เส้นทางนี้ก็ไม่ได้ง่ายเลย

[ เพิ่ม EBITDA โต 100% ]

สิ่งหนึ่งที่บริษัทชูขึ้นมาอย่างชัดเจนคือ การตั้งเป้าเพิ่ม EBITDA ให้เติบโต 100% ภายในปี 2571 หรือจากราว 40,000 ล้านบาทในปัจจุบันเป็น 80,000 ล้านบาทในอีก 3 ปีข้างหน้า ซึ่งถือว่าเป็นการก้าวกระโดดในช่วงเวลาสั้นๆ สำหรับบริษัทพลังงานขนาดใหญ่เช่นนี้

หลายคนอาจสงสัยว่า EBITDA คืออะไร EBITDA ก็คือกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย เป็นตัวชี้วัดที่นักลงทุนใช้ดูศักยภาพของธุรกิจจากการทำเงินจริงๆ ของการดำเนินงาน โดยไม่เอาปัจจัยอื่นที่ไม่ได้สะท้อนการทำธุรกิจโดยตรงเข้ามารวม เช่น หนี้สินหรือภาษี

ลองนึกง่ายๆ ว่า บริษัทขายน้ำมันได้ 100 บาท มีต้นทุนต่างๆ 70 บาท เหลือกำไรจากการดำเนินงานจริง 30 บาท แต่ก่อนจะเป็นกำไรสุทธิ บริษัทต้องหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคาออกไป อาจเหลือแค่ 15 บาทเท่านั้น ขณะที่ตัวเลข EBITDA ยังแสดงให้เห็นว่า บริษัทสามารถสร้าง 30 บาท จากการทำธุรกิจจริงๆ ได้

ดังนั้น การตั้งเป้า EBITDA โตเท่าตัวจึงสะท้อนว่า ‘บางจาก’ มุ่งเน้นการเสริมพลังการทำเงินจากธุรกิจหลักโดยตรง มากกว่าการอาศัยปัจจัยภายนอก

[ ปรับโครงสร้างใหม่ งบลงทุน 3.5 หมื่นล้าน  ]

และเพื่อให้กลยุทธ์เดินหน้าอย่างชัดเจน ‘ผู้บริหาร’ เล่าว่าบางจากได้เตรียมปรับโครงสร้างธุรกิจตั้งแต่ 1 มกราคม 2569 แบ่งออกเป็น 5 กลุ่มหลัก ได้แก่

กลุ่มแรก คือ โรงกลั่น การตลาด และพลังงานชีวภาพ ที่จะบริหารโรงกลั่นพระโขนงและศรีราชาแบบ One Team ขยายกำลังกลั่นจาก 265,000 บาร์เรล/วันในปี 2568 เป็น 285,000 บาร์เรล/วันในปี 2571 พร้อมลงทุนในเชื้อเพลิงแห่งอนาคตอย่าง SAF และ HVO รวม 7,000 บาร์เรล/วัน

นอกจากนี้ยังเร่งขยายกำลังการผลิตเอทานอลและไบโอดีเซล และตั้งเป้าเพิ่มสถานีบริการเป็นกว่า 2,300 แห่งในปี 2571 พร้อมขยายส่วนแบ่งตลาดน้ำมันจาก 29% เป็น 33% ภายในปี 2573

กลุ่ม 2 คือ การค้าน้ำมัน (Trading) ซึ่งถูกยกระดับขึ้นมาเป็นธุรกิจหลักหรือ ‘ธุรกิจเรือธงใหม่’ จากเดิมที่มีบทบาทเพียงสนับสนุนโรงกลั่น มุ่งสู่การสร้างรายได้และผลตอบแทนโดยตรง บริษัทตั้งเป้าเพิ่ม EBITDA ของกลุ่มนี้จากราว 650 ล้านบาทในปัจจุบัน เป็น 4,400 ล้านบาทภายในสามปี

กลุ่ม 3 คือ ธุรกิจต้นน้ำ (Upstream) ที่ตั้งเป้าเป็นผู้เล่นชั้นนำด้านแหล่งปิโตรเลียมระดับอาเซียน เน้นการสร้างกระแสเงินสดที่มั่นคง และใช้ประสบการณ์จากนอร์เวย์มาเสริมความแข็งแกร่ง

กลุ่ม 4 คือ ไฟฟ้าและโครงสร้างพื้นฐาน (Power & Infrastructure) ที่จะต่อยอดจากธุรกิจพลังงานหมุนเวียนไปสู่โครงสร้างพื้นฐานเชิงยุทธศาสตร์ เช่น ดาต้าเซ็นเตอร์ ธุรกิจคลาวด์ และการรีไซเคิลแบตเตอรี่ ตั้งเป้า EBITDA ไม่ต่ำกว่า 7,000 ล้านบาทในปี 2571

กลุ่ม 5 คือ ธุรกิจใหม่และโฮลดิ้งส์ ที่จะขยายการลงทุนในเทคโนโลยีอนาคต เช่น Bio-LNG, Green Ammonia, Nuclear Fusion และเชื้อเพลิงสังเคราะห์ รวมถึงลงทุนผ่านกองทุน CVC มูลค่า 30 ล้านดอลลาร์

ทั้งหมดนี้ บางจาก วางงบลงทุนรวม 35,000 ล้านบาท ในช่วงปี 2569–2571 โดยเน้นการลงทุนที่มีผลตอบแทนชัดเจน และกำหนดเกณฑ์ผลตอบแทนขั้นต่ำ (IRR) ไว้ที่ 15% เพื่อคุมความเสี่ยง การปรับโครงสร้างครั้งใหม่นี้คาดว่าจะช่วยเพิ่ม EBITDA ราว 10,000 ล้านบาทต่อปี จากฐานที่มีอยู่เดิม

[ แผนซื้อหุ้นคืน 3 ปี ]

อีกหนึ่งหมากสำคัญคือ โครงการซื้อหุ้นคืนระยะเวลา 3 ปี ที่คาดว่าจะเสนอคณะกรรมการภายในปีนี้ โดยบริษัทมองว่าราคาหุ้นในตลาดยังต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน การซื้อหุ้นคืนจึงไม่เพียงแต่เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มแก่ผู้ถือหุ้น แต่ยังเป็นสัญญาณชัดเจนถึงความมั่นใจในศักยภาพการเติบโตของบางจากฯ

ดังนั้น การรักษาความเป็นผู้นำด้านอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (Top Tier TSR) ซึ่งสามารถพิจารณาได้จากผลตอบแทนจากราคาหุ้น (Capital Gain) และผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Payment) เมื่อเทียบกับบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกัน

กลยุทธ์ Bangchak 100x ไม่ใช่เพียงแผนเพิ่มตัวเลขทางการเงิน แต่คือการปรับโครงสร้างทั้งองค์กร เพื่อสร้างความสมดุลระหว่างการรักษาความมั่นคงด้านพลังงานและการขับเคลื่อนสู่อนาคตพลังงานสะอาด นี่คือเส้นทางที่บางจาก กำลังเติบโตอย่างแข็งแกร่ง มั่นคง และยั่งยืน พร้อมรับมือกับโลกพลังงานที่เปลี่ยนแปลงเร็วกว่าเดิม

ManassaweeWriterManassawee
นักข่าวการเงิน ที่มีความสนใจเรื่องการลงทุนและการตลาด อยากสื่อสารให้ทุกเรื่องการเงินเป็นเรื่องง่ายสำหรับทุกคน

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง
‘บางจาก’ ปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ มุ่งเพิ่ม EBITDA โตเท่าตัวแตะ 8 หมื่นล้านใน 3 ปี