บิล เกตส์ ผู้ร่วมก่อตั้ง Microsoft ที่ทุกวันนี้ผันตัวมาเป็นผู้สนับสนุนและให้ทุนกับการศึกษาด้านนวัตกรรมและวิจัยหลายอย่างที่เกี่ยวกับสุขภาพ สุขภาวะ และสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะที่ตัวเขาเป็นหนึ่งในคนที่ช่วยให้ทุนสนับสนุนการศึกษาวิจัยเรื่องการใช้พลังงานนิวเคลียร์ในแง่มุมพลังงานสะอาดใหม่ในอนาคต
แต่หากย้อนไปในอดีตยุคหนึ่ง บิล เกตส์ สมัยที่ยังเป็นซีอีโอและให้น้ำหนักเรื่องทางธุรกิจมากกว่าเรื่องอื่นในชีวิต เคยถูกบรรยายสรรพคุณไว้ว่าเป็น คนฉลาดที่ยโส หนักเข้าก็ถูกเปรียบเปรยว่าเป็น ปีศาจในระบบทุนนิยมแบบนักล่า
บิล เกตส์ เป็นหนึ่งในบุคคลที่มีความสำคัญกับวงการเทคโนโลยีของโลก เขาใช้ซอฟท์แวร์ในการเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ และก็ร่ำรวยประสบความสำเร็จจากธุรกิจเทคโนโลยี
ในปี 2008 บิล เกตส์ ถอยฉากลาออกจากการบริหารบริษัท Microsoft มาสวมหมวกประธานคณะกรรมการบริหาร
จนถึงปัจจุบันนี้เขาหันมาให้ความสนใจกับการค้นหานวัตกรรมที่จะมาช่วยแก้ปัญหาโลกร้อน รวมไปถึงแก้ปัญหาในภูมิภาคที่ยังห่างไกลความเจริญในหลายประเทศแถบทวีปแอฟริกา
ถ้าถามว่าผ่านร้อนผ่านหนาวมาจนถึงตอนนี้ บิล เกตส์ กลัวอะไรมากที่สุด เขาเคยบอกว่า “ผมไม่อยากให้สมองของผมหยุดทำงาน”
บิล เกตส์ ดูเหมือนจะภูมิใจและเข้าใจความฉลาดและพรสวรรค์ที่มีของเขา มีการวิเคราะห์กันว่าสมองของบิล เกตส์ เปรียบเสมือนเป็นซีพียู หรือสมองคอมพิวเตอร์ที่มีสเปรดชีตจัดเรียงความคิดข้อมูลจำนวนมาก และทำการคำนวณพร้อมเก็บข้อมูลราวกับโปรแกรม Excel อัดแน่นอยู่ในหัวของเขา
สำหรับ บิล เกตส์ ในวัย 68 ปี ความคิดที่จะต้องทำงานน้อยลงสำหรับเขาบอกว่า “ฟังดูแย่มาก”
เขาหวังว่าจะเดินตามรอยเพื่อนรุ่นใหญ่ที่ซี้กันอย่าง “วอร์เรน บัฟเฟตต์” ที่เป็นทั้งประธานและซีอีโอของ Berkshire Hathaway ในวัย 94 ปี และไม่มีแผนจะเกษียณอายุในเร็วๆ นี้
วอร์เรน บัฟเฟตต์ ที่ยังเข้าออฟฟิศสัปดาห์ละ 6 วัน และ บิล เกตส์ ก็บอกว่า “ผมหวังว่าสุขภาพของผมจะช่วยให้ผมทำได้อย่างวอร์เรนได้”
ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ของโลก Microsoft บอกว่า ยังมีอีกหลายเรื่องที่เขาต้องการทำ และยังคงทำงานเป็น “ที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยี” ให้กับ Microsoft และยังทำภารกิจสาธารณะเน้นประเด็นระดับโลก อาทิ ปัญหาสุขภาวะ ความยากจน การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ และการศึกษา
บิล เกตส์ บอกว่า เขายังต้องการทำงานให้ได้นานที่สุดถ้าสุขภาพเอื้ออำนวย และหวังว่าจะมีแรงทำงานต่อไปได้อีกมากกว่า 20-30 ปี
ถ้าดูระดับงานปัจจุบันนี้ของ บิล เกตส์ จะพบว่าแตกต่างอย่างมากจากความเข้มข้นในอาชีพช่วงต้นของเขาที่เป็นช่วงผลักดันให้ Microsoft เติบโต และเป็นยักษ์ใหญ่ทางเทคโนโลยี
“ตอนนี้ผมไม่ค่อยทำงานหนักเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ตอนอายุ 20 ต้นๆ ผมไม่เชื่อในเรื่องวันหยุดสุดสัปดาห์และวันหยุดพักร้อนเลย ตอนนั้นผมเคร่งกับตัวเองมากเกินไป”
บิล เกตส์ มองย้อนกลับไปในวัยหนุ่มของตัวเอง และบอกว่า ตอนนั้นเขาคาดหวังให้พนักงานก็ต้องมีมายเซ็ทการทำงานแบบหามรุ่งหามค่ำแบบเดียวกับเขา ถึงขนาดจำเลขทะเบียนรถของลูกน้องทุกคนไว้ด้วยเพื่อจะได้รู้ว่าลูกน้องเข้ามาทำงานเมื่อไหร่ และออกงานกลับบ้านเมื่อไหร่
แต่ก็มีจุดเปลี่ยนให้เขาเลิกนิสัยคร่ำเคร่งกดดันพนักงานลูกน้องลงมาได้ คนที่มาแนะนำเขาคือ วอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนมหาเศรษฐี ที่แนะนำว่าบิล เกตส์ ควรผ่อนปรนตัวเองเรื่องการทำงาน รวมทั้งผ่อนคลายกับพนักงานให้มากขึ้นด้วย
วอร์เรน บัฟเฟตต์ บอก บิล เกตส์ ว่า “คุณไม่จำเป็นต้องทุ่มเวลาทุกนาทีในตารางงานเพื่อที่จะเป็นนักธุรกิจที่จริงจัง แต่สิ่งสำคัญกว่าคือ การควบคุมเวลาของตัวเองให้ดี เพราะโดยพื้นฐานแล้วผมสามารถซื้ออะไรก็ได้ที่ผมต้องการ แต่ผมซื้อเวลาไม่ได้”
หลังจากคำแนะนำ บิล เกตส์ พยายามเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตัวเองนับตั้งแต่นั้น และเขาก็เล่าเรื่องนี้ให้บัณฑิตที่เข้ารับปริญญาของมหาวิทยาลัยนอร์ทเทิร์นแอริโซนา ฟังเมื่อปีที่แล้วว่า “เขาหวังว่าจะมีใครสักคนบอกเขาเร็วกว่านี้ว่า ให้พักผ่อนเมื่อจำเป็น”
ทุกวันนี้ บิล เกตส์ บอกว่าเขาใช้เวลาว่างอย่างมีความสุข เล่นเทนนิสเพื่อผ่อนคลาย และใช้เวลาพักร้อนแบบพักร้อนจริงๆ
ที่น่าอิจฉาคือเขามีเวลาอ่านหนังสือมากถึง 3 ชั่วโมงต่อวันเลยทีเดียว
แม้สิ่งที่เขาตกผลึกได้มา จะเกิดขึ้นภายหลังพ้นจากงานบริหารที่ Microsoft เต็มตัวไปแล้ว แต่นับว่ายังดีที่ บิล เกตส์ มีมิตรที่ดีอย่างปู่ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ตัวอย่างผู้บริหารที่ทำงานตลอดชีวิต แต่บริหารจัดการเวลาชีวิตได้ดียิ่งกว่า ให้คำแนะนำกึ่งให้สติจนอดีตบิ๊กซีอีโอแห่งวงการเทคโนโลยีที่เคยถูกขนานนามว่า ‘จอมโหดในที่ทำงาน’ ได้กลับมาบาลานซ์ชีวิตอีกครั้ง










