ตลาด ‘ไก่ทอดเกาหลี’ ในประเทศไทยค่อนข้างใหญ่ มีผู้เล่นกระโดดเข้ามาในตลาดอยู่เรื่อยๆ ทำให้แบรนด์ต้องปรับตัวรับกับคู่แข่ง ถ้าพูดถึงหนึ่งในแบรนด์ที่คนไทยรู้จักกันดีอย่าง Bonchon ที่หลังจากปรับกลยุทธ์ไม่เก็บเซอร์วิสชาร์จมาได้ครบ 1 ปี รวมทั้งพัฒนารสชาติและออกเมนูใหม่เรื่อยๆ ขยายไปถึงการเจาะตลาดลูกค้าที่มารับประทานแบบคนเดียวมากขึ้น ตอนนี้ธุรกิจ Bonchon ในประเทศไทยเป็นอย่างไรบ้าง
TODAY Bizview ได้พูดคุยกับ ‘อนุพนธ์ นิธิยานันท์’ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ถึงการแข่งขันของตลาดไก่ทอดเกาหลี และธุรกิจของ Bonchon

[ ครบ 1 ปีที่ไม่มีเซอร์วิสชาร์จ ธุรกิจยังโตต่อเนื่อง ]
‘อนุพนธ์ นิธิยานันท์’ เล่าให้ฟังว่า ตลาดไก่ทอดเกาหลีในไทยมีผู้เล่นระดับพรีเมียมเข้ามาเพิ่มขึ้น และมีการขยายสาขาของแบรนด์อื่น หลายแบรนด์เข้ามาและออกไป ส่วน Bonchon ก็อยู่คู่กับคนไทยมาแล้ว 14 ปี และยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีที่แล้ว Bonchon เห็นโอกาสและศักยภาพในการเติบโตอย่างชัดเจน โดยยอดขายเติบโต 7% และจำนวนลูกค้าเพิ่มขึ้น 11% ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจอาหารสามารถเติบโตได้
ในช่วงเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ของปีนี้ การเติบโตยังคงต่อเนื่อง โดยยอดขายเพิ่มขึ้น 10% และจำนวนลูกค้าเพิ่มขึ้น 20% สะท้อนให้เห็นถึง ศักยภาพการเติบโตที่ยังคงมีอยู่ โดยเฉพาะในช่วงเย็นและวันเสาร์-อาทิตย์ที่ร้านแน่นมาก กลุ่มลูกค้าหลักๆ ที่มีก็จะเป็นGen Z และวัยทำงานตอนต้น ซึ่งเปิดรับรสชาติใหม่ๆ และมีแนวโน้มลองของใหม่สูง คิดเป็น 60-70% ของฐานลูกค้าที่เข้าร้าน และที่สำคัญตอนนี้แบรนด์ไม่มีเซอร์วิสชาร์จครบ 1 ปีแล้ว
[ ปรังปรุงไก่ใหม่ ขยายต่างจังหวัด ทำเซ็ตเมนูดึงลูกค้าสายลุยเดี่ยว ]
ปีที่ผ่านมา 2 กลยุทธ์หลัก ที่ Bonchon ใช้แข่งขันในตลาดไก่ทอด คือ
-
-
- ปรับปรุง ‘ไก่ใหม่’ เน้นคุณภาพของไก่ทอดเกาหลี เปิดตัว ไก่ทอดสูตรใหม่ ที่เนื้อในนุ่มขึ้นและรสชาติเข้มข้นขึ้น ตอบโจทย์ผู้บริโภคไทยที่นิยมอาหารรสจัด แต่ยังคงเอกลักษณ์ของบอนชอน เช่น การทอดสองครั้งและการใช้แปรงซอสที่ทาด้วยมือ แต่เพิ่มจุดขายใหม่ที่เนื้อไก่นุ่มขึ้น โดยเราจะ ไม่แข่งขันด้านงบการตลาดหรือลดแลกแจกแถม แต่เน้นการพัฒนาคุณภาพสินค้า
-
-
-
- ขยายฐานลูกค้าใหม่ ขยายร้านสู่ตลาดต่างจังหวัดมากขึ้น พร้อมปรับเมนูให้อ่านแล้วเข้าใจง่าย โดยการขยายสาขาไปต่างจังหวัดผ่านระบบร้านแบบแฟรนไชส์ แต่ขึ้นอยู่กับพื้นที่
-
อย่างไรก็ตามยังพบว่าต่างจังหวัดยังมีความท้าทายของเรื่องชื่อเมนูและชื่ออาหารบางอย่างยังไม่เป็นที่คุ้นเคย ต้องมีการปรับเปลี่ยนชื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น เช่น เขียนชื่อเมนูปิ้งย่างเกาหลี ซึ่งเป็นอาหารที่คนไทย โดยเฉพาะต่างจังหวัด คุ้นเคยกว่าเขียนเป็นภาษาเกาหลี
นอกจากนี้ เน้นเจาะตลาดกลุ่มคนที่มาคนเดียว โดยลูกค้าส่วนใหญ่ของบอนชอนมักมาเป็นกลุ่ม แต่ทีมการตลาดมองเห็นโอกาสจาก กลุ่มที่มารับประทานคนเดียว โดยเฉพาะช่วงกลางวัน เลยลองเปิดตัว เมนูรามยอน ซึ่งคล้ายกับกลยุทธ์ Single Portion ของแบรนด์พิซซ่า ทำให้ลูกค้าสามารถนั่งรับประทานคนเดียวได้ ซึ่งกลุ่มนี้ก็มีการใช้จ่ายเฉลี่ยสูงถึงบิลละ 400 บาทเลยทีเดียว
[ ปีนี้ไม่ขึ้นราคา แม้ต้นทุนสูง ]
อย่างไรก็ตาม สำหรับปีนี้ Bonchon จะมีซอสใหม่ และเมนูหลากหลายมากขึ้น ทุกอย่างที่เป็น Korean-Inspired สามารถนำมาต่อยอดได้ พร้อมทั้งยังมีรอยัลตี้โปรแกรมและการใช้โซเชียลมีเดีย โดยแอปพลิเคชัน Bonchon มี 1 ล้านดาวน์โหลด และอัตราการใช้งานอยู่ที่ 20% ซึ่งลูกค้ากลุ่มสมาชิกใช้จ่ายมากกว่าลูกค้าทั่วไปถึง 3 เท่า
และอย่างที่บอกไปว่าลูกค้าหลักๆ ของแบรนด์คือกลุ่ม Gen Z กลยุทธ์การสื่อสารของบอนชอนก็จะต้องเน้น โซเชียลมีเดียและคอนเทนต์ที่เข้าถึงวัยรุ่น เช่น ใช้ภาษาที่เป็นเอกลักษณ์ สนุก และเป็นกันเองเพิ่มเข้าไปด้วย
สำหรับความท้าทายที่แบรนด์ต้องเผชิญ ‘อนุพนธ์ นิธิยานันท์’ เล่าว่าเป็นเรื่องของ ผู้เล่นในตลาดมากขึ้น มีทั้งเข้ามาและออกไป เข้ามาแล้วขยายสาขาเยอะ ซึ่งแบรนด์เองยังเผชิญเรื่องของราคาต้นทุนของวัตถุดิบและค่าการจัดการดำเนินการอื่นๆ แต่ย้ำว่าเราจะไม่ขึ้นราคาอาหาร
ปัจจุบัน Bonchon มีอยู่ราวๆ 122 สาขา ในกรุงเทพฯ 80% และสาขาต่างจังหวัด 20% ซึ่งปีนี้จะขยายสาขาเพิ่มอีก 20 แห่งทั่วประเทศ










