สำนักข่าว Nikkei Asia รายงานสถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในจีน ที่ตอนนี้โครงการบ้านจัดสรรในเมืองถงหลิง มณฑลอันฮุย ทางตะวันออกของจีน เกือบครึ่งหนึ่งแทบจะกลายเป็นโครงการที่ถูกทิ้งร้างแล้ว
ตลาดอสังหาฯ ซบเซาถึงขั้นที่ว่าเว็บไซต์คอนโดมิเนียมย่านชานเมืองโครงการหนึ่งที่กำลังพัฒนา ถึงขั้นออกโปรโมชั่น “ซื้อ 1 ชั้น ฟรี 1 ชั้น”
แม้ว่าจะมีข้อเสนอมากมาย แต่ราคา 1.45 ล้านหยวน หรือราว 7 ล้านบาท ก็ยังสูงเกินไปสำหรับคนส่วนใหญ่ โดยชาวบ้านรายหนึ่งระบุว่า เงินเดือนในพื้นที่นี้เฉลี่ยอยู่ที่ 3,000 – 4,000 หยวนเท่านั้น
บ้านที่ขายไม่ออกเป็นเพียงอาการหนึ่งของภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์ตกต่ำในจีน ซึ่งแม้แต่ผู้กำหนดนโยบายก็ยังยอมรับ
สำนักโปลิตบูโรของพรรคคอมมิวนิสต์กล่าวยอมรับในการประชุมครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม ว่า “นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในความสัมพันธ์ระหว่างดีมานด์และซัพพลายในตลาดอสังหาริมทรัพย์ของจีน”
โดยจากข้อมูลของทางการพบว่า ยอดขายที่อยู่อาศัยใหม่ทั่วประเทศลดลง 26.8% ในปี 2565 และลดลงอีก 2.8% ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566
ทั้งนี้ อสังหาริมทรัพย์และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจราว 30% ของจีดีพีจีน และแม้ว่าที่ผ่านมาอุตสาหกรรมนี้จะผลักดันการเติบโตอย่างรวดเร็วให้กับเศรษฐกิจจีน แต่ตอนนี้ดีมานด์ไม่ได้แข็งแกร่งแบบเดิมอีกต่อไป และทำให้นี่กลายเป็นอุตสาหกรรมที่กำลังฉุดเศรษฐกิจจีนอย่างมาก
โดยจีดีพีจีนไตรมาส 2/66 เติบโต 0.8% ชะลอตัวจากไตรมาสก่อนหน้าที่เติบโต 2.2% ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์บางคนประเมินว่าการเติบโตทั้งปีน่าจะลดลงต่ำกว่า 5%
แน่นอนว่าสภาวะตลาดอสังหาฯ ตกต่ำกระทบกับบริษัทดีเวลอปเปอร์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หลายบริษัทต้องปลดพนักงาน โดยมีการประเมินว่าจำนวนพนักงานของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนในจีนแผ่นดินใหญ่ลดลงประมาณ 100,000 คนในปีที่แล้ว จากในปี 2564 อยู่ที่ 890,000 คน
Meng Lei นักยุทธศาสตร์จาก UBS กล่าวว่า “การปลดพนักงาน กำลังสร้างแรงกดดันต่อความต้องการใช้จ่ายของครัวเรือน
ขณะที่กำลังจับตาดูความเสี่ยงหนี้ของ Local Government Financing Vehicle (LGFVs) ที่จัดตั้งโดยรัฐบาลท้องถิ่นจีน เพื่อทำการกู้เงินแบงก์ หรือออกหุ้นกู้ โดยนำเงินไปลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เช่น สร้างเมือง ถนน ระบบทางด่วน และอสังหาเชิงพาณิชย์ต่างๆ ซึ่งปัจจุบันมียอดหนี้สูงและมีความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้
ด้านซิตี้กรุ๊ปประมาณการหนี้สาธารณะทั้งหมดของจีน ซึ่งรวมถึงหนี้ที่มีดอกเบี้ยจาก LGFVs อยู่ที่ 108 ล้านล้านหยวน หรือคิดเป็นประมาณ 90% ของ GDP










