เบื้องหลังความสำเร็จ ‘BYD’ จากอดีตเป็น ‘ผู้ผลิตแบตฯ’ รายใหญ่ของโลก สู่แชมป์ค่ายรถยนต์ EV ที่มียอดจองสูงสุดในไทย

เบื้องหลังความสำเร็จ ‘BYD’ จากอดีตเป็น ‘ผู้ผลิตแบตฯ’ รายใหญ่ของโลก สู่แชมป์ค่ายรถยนต์ EV ที่มียอดจองสูงสุดในไทย

การตลาด

ไม่กี่วันที่จบงาน Bangkok International Motor Show 2025 ครั้งที่ 46 ยอดจองของค่ายรถยนต์ไฟฟ้า (EV) อย่าง ‘BYD’ สัญชาติจีน สะท้อนชัดเกี่ยวกับพฤติกรรมผู้ซื้อคนไทยที่ยังนิยมรถยนต์ไฟฟ้ามากกว่ารถยนต์สันดาป หรือไฮบริด

โดยสรุปยอดจองรถยนต์ 14 วันที่ผ่านมาของทุกค่ายที่ปิดการขายทั้งสิ้น 77,379 คัน เพิ่มขึ้น 44.8% ซึ่งตัวเลขยอดขายอย่างเป็นทางการ ‘ท็อป 5’ ของค่ายรถยนต์ทั้งหมด ได้แก่

  1. BYD+DENZA 10,353 คัน (BYD 9,819 / DENZA 534)

  2. Toyota 9,819 คัน

  3. GAC (AION / HYPTEC) 7,018 คัน

  4. DEEPAL / AVATR / ChangAn 6,589 คัน (ChangAn-Deepal 6,067 / AVATR 522)

  5. Honda 5,948 คัน

ซึ่ง 3 ใน 5 แบรนด์เป็นค่ายรถยนต์สัญชาติจีนต่างมณฑล ส่วนอีก 2 แบรนด์คือ ค่ายรถยนต์จากประเทศญี่ปุ่น แม้ว่า Toyota ยังคงเป็นแชมป์รถยนต์ที่ขายดีที่สุดในโลก 5 ปีติดต่อกัน ปี 2024 มียอดขาย 10.8 ล้านคัน แต่ในงานนี้ BYD ได้ตัวช่วยจาก ‘DENZA’ ซึ่งเป็นแบรนด์ลูกในเครือของ BYD ในปัจจุบัน

[ BYD ได้เปรียบจากเป็นผู้ผลิตแบตรายใหญ่โลก ]

ก่อนที่ BYD จะเข้าสู่อุตสาหกรรมผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอย่างทุกวันนี้ ปี 1995 Wang Chuanfu มหาเศรษฐีคนที่ 78 ของโลก (THE REAL-TIME BILLIONAIRES LIST จาก Forbes) ได้เริ่มต้นธุรกิจแรกด้วยการเป็น ‘ผู้ผลิตแบตเตอรี่มือถือ’

ความหลงใหลในงานวิศวกรรมและแบตเตอรี่ทำให้ตอนนั้นสามารถขึ้นสู่ตำแหน่งผู้ผลิตแบตฯ รายใหญ่อันดับ 2 ของโลก ซึ่งหนึ่งในแบรนด์มือถือที่เป็นลูกค้ารายใหญ่ของ BYD (ตอนนั้น) ก็คือ ‘Motorola’ แบรนด์ดังยุค 80s-90s จากสหรัฐอเมริกา

พอมาปี 2002 Wang Chuanfu ได้ซื้อบริษัทรถยนต์ Tsinchuan Automobile เข้ามาเป็นบริษัทลูก ตอนนั้นเขาคิดว่าอยากจะเริ่มทำอย่างอื่นที่สามารถต่อยอดจากแบตเตอรี่ โดยลองทำแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์

เขาใช้เวลาทดลอง ‘รถยนต์กับแบตเตอรี่’ อยู่นาน 5 ปี จากนั้นปี 2008 จึงเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น ‘BYD Auto Co’ เพื่อสื่อถึงการสร้าง การปลุกปั้นความฝันของตัวเขาและคนจีนนั้นเอง โดย BYD มาจากคำว่า “Build Your Dream”

และในปีนั้นเอง Warren Buffett ได้ลงทุนราว 232 ล้านเหรียญสหรัฐเพื่อซื้อหุ้น 10% ใน BYD เขาเชื่อมั่นในความสำเร็จของยานยนต์ ‘พลังงานใหม่’ และก้เริ่มเทขายหุ้นครั้งแรกในปี 2022 ซึ่งตอนนั้นราคาหุ้นของ BYD ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 20 เท่านับจากวันแรกที่เขาลงได้

ปัจจุบัน BYD มีบริษัทลูกที่ผลิตรถตามความต้องการลูกค้าในแต่ละแบบต่างกัน โดยมีประมาณ 4 แบรนด์ในเครือ ก็คือ Denza, Yangwang และ Fangchengbao รวมทั้ง BYD ด้วย

ต้องพูดว่าสำหรับคนในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า BYD ถือว่าเป็นแบรนด์รถยนต์ที่มีการเติบโตเร็วมากๆ แบรนด์หนึ่งในโลก ดูจากปี 2024 ที่มียอดขายสูงสุดเป็นอันดับ 3 ของโลก โดย BYD ใช้เวลาไต่อันดับเพียง 1 ปีจากปี 2023 ที่อยู่อันดับ 9

ขณะเดียวกัน BYD ยังเป็นแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าที่มีมาร์เก็ตแชร์สูงสุดในตลาดไทย (เทียบเฉพาะแบรนด์ที่เป็นรถยนต์ EV) อยู่ที่ประมาณ 38.5% ในปี 2024

ส่วนอันดับ 2 และ 3 ของแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าในไทย ได้แก่ MG และ NETA

ถ้าเรามาดูเฉพาะจำนวน ‘การผลิต’ รถยนต์ BYD ย้อนหลัง 5 ปีนับจากปี 2020 – 2024 จะเห็นวิวัฒนาการทั้งของ BYD และดีมานด์ของรถยนต์ไฟฟ้าได้ดี ว่าเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคทั่วโลกมากแค่ไหน

โดยข้อมูล Statista เผยข้อมูลจำนวนการผลิตรถยนต์ของ BYD ดังนี้

ปี 2020 – 431,954 คัน

ปี 2021 – 747,540 คัน

ปี 2022 – 1,881,669 คัน

ปี 2023 – 3,045,231 คัน

ปี 2024 – 4,304,073 คัน

บริษัทวิจัย Deutsche Bank ได้วิเคราะห์ว่า ในปี 2025 คาดว่า BYD น่าจะมียอดขายแตะที่ 5.6 ล้านคัน โดยจะแบ่งเป็นไตรมาส 1 จำนวน 1 ล้านคัน, ไตรมาส 2 จำนวน 1.2 ล้านคัน, ไตรมาส 3 จำนวน 1.6 ล้านคัน และไตรมาส 4 จำนวน 1.8 ล้านคัน ซึ่งหากเป็นไปตามนี้หรือใกล้เคียง BYD จะกลายมาเป็นหนึ่งในผู้เล่นในอุตสาหกรรมรถยนต์ที่น่ากลัวอีกรายหนึ่ง รวมไปถึงมีส่วนอย่างมากในการกำหนดเทรนด์การบริโภคของธุรกิตรถยนต์ต่อไป

 

อ้างอิง:
https://tridenstechnology.com/byd-sales-statistics/
https://www.innovestx.co.th/cafeinvest/investsnack/market-chronicles/company-history/byd-1211-hk
https://cleantechnica.com/2025/02/05/byd-becomes-3rd-best-selling-auto-brand-in-world-chart/
https://www.krungsri.com/th/plearn-plearn/byd-most-popular-ev-car

แท็กที่เกี่ยวข้อง
Prakaiporn WriterPrakaiporn

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง