ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ให้สัมภาษณ์ว่าจะใช้ป้ายหาเสียงตามถนนให้น้อยที่สุด สาเหตุหนึ่งคือน้อยคนที่จะเลือกเขาเพราะป้ายตามท้องถนน แล้วก็ชวนคิดถึงการสื่อสารในยุคดิจิทัล
เรามาลองดูว่าการสื่อสารออนไลน์เข้าถึงคนมากขนาดไหน
เมื่อวานหลังจากได้เบอร์แล้ว ชัชชาติเริ่มออกหาเสียงและสื่อสารผ่านทาง Social Media
- ไลฟ์ในเฟซบุ๊กตอนกลางวันคนดูสดพร้อมกันสูงสุดกว่า 2,000 คน
- คนดูรวม 70,000 วิว
- คนคอมเมนต์ 1,700 ครั้ง
- คนดูรวม 83,000 วิว
- คนคอมเมนต์ 373 ครั้ง
ภาพชัชชาติถือดอกไม้ห่อด้วยใบปลิวหาเสียง
- มีคนรีทวีต 16,400 ครั้ง

โลโก้เลข 8 บนชื่อชัชชาติที่จัดทำโดยประชาธิปไทป์
- มีคนรีทวีต 6,500 ครั้ง

จากการหาเสียงวันแรกมีสำนักข่าวนำไปรายงานต่อในช่องทางออนไลน์ ยอดวิวสูงสุดคือข่าวชัชชาติแซวคุณปลื้มบน Voice TV 36,000 วิว
ตัวเลขทั้งหมดนับจนถึงเวลา 10.00 น. ของวันที่ 1 เมษายน 2565
1 วันหลังจากได้เบอร์ลงสมัครและเริ่มหาเสียง
โดยตัวเลขนี้นับเฉพาะจากต้นทางโพสต์เท่านั้น ไม่นับคนที่ส่งต่อผ่านทางไลน์หรือช่องทางอื่นๆ ที่ไม่สามารถจับตัวเลขได้
ตัวเลขทั้งหมดนี้ถือว่าใช้ได้ ไม่ขี้เหร่เลย เมื่อเทียบกับรายการข่าวที่เมื่อเวลาไลฟ์จะมียอดวิวแบบ Concurrent อยู่ที่ 500-1,000 คน แต่ของชัชชาติมากถึง 2,000 คน มากกว่าสองเท่า
ส่วนในทวิตเตอร์การมีคนรีทวีตหลักพันถึงหมื่น ก็เท่ากับว่าการสื่อสารมันทำงานของมันแล้ว มีคนมองเห็นการหาเสียงแบบที่ชัชชาติทำ
แตกต่างจากช่องทางการสื่อสารแบบเดิมๆ ที่การสื่อสารจะเน้นไปที่การวางป้ายหาเสียงบนถนน
ข้อมูลจาก PLAN B บริษัทสื่อโฆษณา บอกว่า การจะประเมินว่าป้ายโฆษณาที่วางตามถนน เข้าถึงคนได้มากน้อยแค่ไหน
จะใช้วิธีการวัดผลจาก Eyeballs เพื่อดูว่าแถวนั้นมีคนผ่านไปผ่านมากี่คน ส่วนใหญ่ก็ใช้ตัวเลขอ้างอิงจากปริมาณการจราจรบนท้องถนน ซึ่งข้อมูลมาจากภาครัฐ
ถ้ายกตัวอย่างให้เห็นภาพในการวัด Eyeballs ก็อย่างเช่น แยกใต้ด่วนดินแดง ทางแยกหนึ่งในเขตพญาไท จุดตัดระหว่างถนนวิภาวดีรังสิตกับถนนดินแดง
ข้อมูลจากสำนักการจราจรและขนส่งในเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ระบุว่า
- แยกใต้ด่วนดินแดง มีปริมาณรถรวมทุกประเภทตั้งแต่รถยนต์ รถตู้ รถปิคอัพ รถเมล์ รถบรรทุก ไปจนถึงรถสามล้อ รวมแล้ว 114,437 คันในรอบ 1 เดือน
พูดง่ายๆ คือ ถ้าป้ายใหญ่ อยู่ในทำเลดี ก็เข้าถึงคนได้มาก หนึ่งในตัวอย่างที่ดีที่สุดคือป้ายบิลบอร์ดบนทางด่วนที่เราเห็นกันบ่อยๆ
แต่ประเด็นก็คือ ข้อมูลปริมาณการจราจรที่ว่ามานี้ ไม่มีการอัปเดทแบบ Real Time และไม่สามารถระบุกลุ่มผู้ชมได้ชัดเจน การตั้งป้ายสักป้ายจะไปแก้ไขข้อความเร่งด่วนสู้สื่อออนไลน์ได้ยาก
แบบนี้เราจะเริ่มเห็นความแตกต่างระหว่างการสื่อสารผ่านสื่อออนไลน์ กับการสื่อสารแบบออฟไลน์
แต่การมองเห็นก็ไม่ได้แปลว่าจะสร้างคะแนนบวกให้กับผู้สมัครเสมอไป
Exposure ไม่ได้เท่ากับคะแนนเสียงตลอดทุกครั้ง เราอาจจะวางจุดแข็งจุดอ่อนของการสื่อสารแบบดิจิทัลได้ตามนี้
จุดแข็งของการสื่อสารออนไลน์
- ไม่เกิดคำวิจารณ์เรื่องทำถนนรก สร้างปัญหาให้กับประชาชน
- เมื่อไม่เกิดคำวิจารณ์ Negative Sentimental ต่อแคมเปญก็น้อยลง
- ใช้งบประมาณน้อย เพราะพื้นที่บนอินเตอร์เน็ทราคาประหยัดกว่าการซื้อป้าย
จุดอ่อนของการสื่อสารออฟไลน์
- อาจจะเกิดภาวะ Echo Chamber เข้าไม่ถึงกลุ่มคนที่ไม่ได้ติดตามผู้สมัคร
- เข้าไม่ถึงกลุ่มคนที่ไม่ได้ใช้อินเทอร์เน็ต
- Social Media เป็นการสื่อสารสองทาง อาจจะเป็นพื้นที่ให้โจมตีได้ ถ้าความนิยมตก
แคมเปญการหาเสียงเลือกตั้งผู้ว่าจะกินเวลาอีกเกือบ 2 เดือน ชัชชาติที่ดูจะกินพื้นที่สื่อออนไลน์ได้ตอนนี้ ก็ไม่ได้การันตีว่าจะชนะการเลือกตั้งอย่างแน่นอน เพราะปัจจัยในการตัดสินใจของคนมีอีกมาก
เรื่องการเมืองก็อีกเรื่องหนึ่ง เรื่องผลการเลือกตั้งก็อีกเรื่องหนึ่ง
แต่หลังจากไม่มีการเลือกตั้งใหญ่มานาน 3 ปี การออกตัวของผู้สมัครว่าจะใช้ป้ายหาเสียงให้น้อยที่สุด ถือเป็นกรณีศึกษาที่สำคัญในเรื่องการสื่อสารในโลกออนไลน์ที่ดี










