ธนาคารยักษ์ใหญ่ของโลก Citigroup Inc. ประกาศว่าบริษัทวางแผนจะยกเลิกการทำธุรกิจธนาคารเพื่อให้บริการลูกค้ารายย่อย (retail banking) ใน 13 ตลาดทั่วเอเชีย, ยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา และมุ่งโฟกัสไปที่ธุรกิจบริหารความมั่งคั่งในบางตลาด
Citi ยังระบุอีกว่า ธนาคารจะยังคงให้บริการในส่วนของลูกค้ารายย่อยใน 4 ตลาดที่ถือเป็นศูนย์กลางแห่งความมั่งคั่ง ได้แก่ สิงคโปร์, ฮ่องกง, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และลอนดอน ทั้งนี้ ความเคลื่อนไหวดังกล่าวถือเป็นส่วนหนึ่งของการปรับกลยุทธ์การดำเนินงานของบริษัทอย่างต่อเนื่องโดยซีอีโอคนใหม่อย่าง Jane Fraser ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา
“การปรับกลยุทธ์ครั้งนี้จะทำให้เราเติบโตอย่างแข็งแกร่งและมีผลตอบแทนที่น่าสนใจจากข้อเสนอต่างๆ ที่จะใช้ในธุรกิจบริหารความมั่งคั่งใน 4 ตลาดเหล่านี้ที่เป็นศูนย์กลางแห่งความมั่งคั่ง” Fraser ระบุในแถลงการณ์
ทั้งนี้ Citigroup จะยกเลิกการทำธุรกิจให้บริการแก่ลูกค้ารายย่อยในออสเตรเลีย, บาห์เรน, จีน, อินเดีย, อินโดนีเซีย, เกาหลีใต้, มาเลเซีย ฟิลิปปินส์, โปแลนด์, รัสเซีย, ไต้หวัน, ไทย และเวียดนาม แต่จะยังให้บริการและนำเสนอผลิตภัณฑ์ให้กับกลุ่มลูกค้าสถาบันซึ่งเป็นแหล่งที่ให้บริการ private banking, การบริหารเงินสด, วาณิชธนกิจ และธุรกิจการค้าขายเงินตรา
ยักษ์ใหญ่แห่งวงการธนาคารจากนิวยอร์กอย่าง Citi ได้สร้างศูนย์ที่ปรึกษาความมั่งคั่งในสิงคโปร์แล้ว โดยมีพื้นที่ใหญ่ถึง 2,800 ตารางเมตร ถือเป็นพื้นที่ที่ใหญ่ที่สุดสำหรับธนาคารประเภทนี้ นอกจากนี้ยังมีห้องสำหรับผู้จัดการฝ่ายบริหารความสัมพันธ์ลูกค้าและผู้เชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์รวมมากกว่า 300 ห้อง
การถอนตัวออกจากบางตลาดในครั้งนี้ของ Citi เกิดขึ้นหลังจากมีการรายงานผลการดำเนินงานของไตรมาสแรกปีนี้ที่มีรายได้ (revenue) อยู่ที่ 1.93 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 7% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่อยู่ที่ 2.07 หมื่นล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม บริษัทมีรายได้สุทธิ (net income) ไตรมาสนี้ 7.94 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่อยู่ที่ 2.5 พันล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ รายได้ที่ลดลงนั้นส่วนใหญ่เป็นผลมาจากอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำและความต้องการขอสินเชื่อที่ลดลง แต่ก็ชดเชยด้วยรายได้จากค่าธรรมเนียมในธุรกิจวาณิชธนกิจและตลาดตราสารทุนที่เติบโตขึ้นอย่างมาก ส่งผลให้รายได้สุทธิเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ
“แม้ใน 13 ตลาดเหล่านั้นจะมีหลายธุรกิจที่ยอดเยี่ยม แต่เราไม่มีกำลังมากพอที่จะแข่งขัน เราเชื่อว่าการลงทุนและทรัพยากรอื่นๆ ของเราจะปรับใช้ได้ดีกว่า เมื่อเทียบกับโอกาสคืนทุนที่สูงขึ้นในธุรกิจบริหารความมั่งคั่งและธุรกิจลูกค้าสถาบันในภูมิภาคเอเชีย” Fraser กล่าว










