กรมราชทัณฑ์ เผย ยอดผู้ต้องขังติดโควิด-19 เพิ่มอีก 628 รายเสียชีวิต 1 ราย จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพ และพบการติดเชื้อเพิ่ม 1 เรือนจำ คือ เรือนจำกลางขอนแก่น
วันที่ 24 พ.ค. 2564 นายวีระกิตติ์ หาญปริพรรณ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ และโฆษกศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กรมราชทัณฑ์ (ศบค.รท.) เปิดเผยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในเรือนจำและทัณฑสถาน (ข้อมูล ณ วันที่ 24 พ.ค. 2564 เวลา 11.00 น.) มีผู้ต้องขังติดเชื้อรายใหม่ จำนวน 628 ราย รักษาหาย 22 ราย เสียชีวิต 1 ราย จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพ ทำให้มีผู้ต้องขังที่ยังติดเชื้ออยู่ในการดูแลของกรมราชทัณฑ์ 15,373 ราย โดยพบการติดเชื้อเพิ่ม 1 เรือนจำ คือ เรือนจำกลางขอนแก่น รวมเรือนจำและทัณฑสถาน ที่พบผู้ติดโควิด-19 จำนวน 13 แห่ง ประกอบด้วย
- เรือนจำกลางเชียงใหม่ ไม่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ รักษาหายเพิ่ม 18 ราย
- เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ผู้ติดเชื้อรายใหม่ 26 ราย เสียชีวิต 1 ราย
- ทัณฑสถานหญิงกลาง ไม่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ ไม่มีรักษาหายเพิ่ม
- เรือนจำกลางคลองเปรม ผู้ติดเชื้อรายใหม่ 60 ราย
- เรือนจำพิเศษธนบุรี ไม่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ ไม่มีรักษาหายเพิ่ม
- เรือนจำกลางฉะเชิงเทรา ผู้ติดเชื้อรายใหม่ 14 ราย
- ทัณฑสถานบำบัดพิเศษกลาง ผู้ติดเชื้อรายใหม่ 16 ราย
- เรือนจำจังหวัดนนทบุรี ผู้ติดเชื้อรายใหม่ 304 ราย
- เรือนจำกลางบางขวาง ผู้ติดเชื้อรายใหม่ 206 ราย รักษาหาย 4 ราย
- ทัณฑสถานหญิงธนบุรี ผู้ติดเชื้อรายใหม่ 1 ราย
- เรือนจำกลางขอนแก่น ผู้ติดเชื้อรายใหม่ 1 ราย
- เรือนจำพิเศษมีนบุรี เรือนจำพิเศษมีนบุรี ไม่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ ไม่มีรักษาหายเพิ่ม
- เรือนจำกลางสมุทรปราการ ไม่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ ไม่มีรักษาหายเพิ่ม
นายวีระกิตติ์ กล่าวว่า ผู้ต้องขังที่เสียชีวิตจำนวน 1 ราย เป็นผู้ป่วยชายอายุ 62 ปี จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร เข้ารับการรักษาตัวที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์จากการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ด้วยอาการเหนื่อย ซึมลง และความดันต่ำ การ X-ray พบปอดอักเสบ และมีภาวะไตวายร่วมด้วย แพทย์ได้ให้ยาและรักษาตามกระบวนการแล้ว แต่อาการไม่ดีขึ้น เนื่องจากผู้ป่วยสูงอายุ และมีอาการรุนแรงจึงได้เสียชีวิตในที่สุด
ส่วนการดำเนินการต่อจากนี้ นอกจากเรื่องของล้ว คือ การวางแผนการรักษาผู้ติดเชื้อ เพื่อลดปริมาณผู้ป่วยหนักและเสียชีวิตลง โดยเฉพาะการแยกผู้ป่วยออกเป็นกลุ่มสี ตามอาการและภาวะเสี่ยง โดยปัจจุบัน กลุ่มสีเขียว คือผู้ติดเชื้อที่ไม่แสดงอาการ หรือมีอาการป่วยเล็กน้อย และไม่มีภาวะเสี่ยง จะทำการดูแล รักษาภายในโรงพยาบาลสนามเรือนจำ ควบคู่กับการให้สารสกัดจากพืชฟ้าทะลายโจรและพืชฟ้าทะลายโจรชนิดบด และยาลดไข้ตามอาการ
สำหรับ ผู้ป่วยสีเขียวที่ไม่มีอาการแต่มีภาวะเสี่ยง ทั้งโรคประจำตัว ภาวะอ้วน และสูงอายุ จะดำเนินการจ่ายยาฟาวิพิราเวียร์เพื่อลดความรุนแรงของโรค ไม่ให้อาการหนักจนกลายเป็นกลุ่มสีเหลือง และในกลุ่มสีเหลืองกับสีแดง จะส่งต่อการรักษาไปยังทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ หรือ โรงพยาบาลแม่ข่ายของแต่ละเรือนจำ ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาเพื่อเพิ่มศักยภาพของโรงพยาบาลสนามเรือนจำให้สามารถรองรับผู้ป่วยสีเหลืองที่ต้องรับออกซิเจน เพื่อให้เพียงพอต่อการรักษามากขึ้น
นายวีระกิตติ์ กล่าวต่อว่า การดำเนินการเพื่อค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุกในผู้ต้องขังยังคงดำเนินการต่อเนื่อง ทั้งในเรือนจำ / ทัณฑสถาน ที่พบผู้ติดเชื้อ และการสุ่มตรวจในเรือนจำที่ยังไม่มีผู้ติดเชื้อ เพื่อวางแผนการฉีดวัคซีนในขั้นตอนต่อไป โดยขณะนี้ มีเรือนจำ/ทัณฑสถานพื้นที่เสี่ยงที่ดำเนินการตรวจเชื้อในผู้ต้องขังจนครบ 100% แล้วทั้ง 10 แห่ง คือ เรือนจำกลางเชียงใหม่ เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ทัณฑสถานหญิงกลาง เรือนจำกลางคลองเปรม เรือนจำพิเศษธนบุรี เรือนจำกลางฉะเชิงเทรา ทัณฑสถานบำบัดพิเศษกลาง เรือนจำจังหวัดนนทบุรี เรือนจำกลางบางขวาง และทัณฑสถานหญิงธนบุรี
รวมทั้งเริ่ม SWAB หาเชื้อซ้ำทุก 7 วัน เพื่อตรวจหาเชื้อในผู้ต้องขังที่ยังไม่พบเชื้อไปแล้ว ซึ่งจะดำเนินการอย่างต่อเนื่องจนกว่าสถานการณ์จะปกติ หรือสามารถแยกผู้ติดเชื้อและไม่ติดเชื้อออกจากกันได้อย่างชัดเจน










