สธ. เตรียมเสนอ ศบค.ชุดใหญ่ ผ่อนคลายมาตรการเข้าประเทศระบบ Test&Go ก่อนเดินทางเข้าไทยไม่ต้องตรวจ RT-PCR 72 ชั่วโมง แต่ให้ตรวจครั้งเดียวเมื่อมาถึงไทย และตรวจด้วย ATK ซ้ำอีกครั้งวันที่ 5
วันที่ 16 มี.ค. 2565 นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงสถานการณ์โควิด-19 ว่าขณะนี้เป็นไปตามฉากทัศน์ที่วางไว้ ช่วงกลาง มี.ค. การติดเชื้อจะเริ่มชะลอตัว แต่จะไม่ลดลงฮวบ เนื่องจากเราใช้มาตรการคล้ายการกั้นน้ำ ทำให้น้ำค่อยๆ เอ่อล้นและเริ่มลดลง
สำหรับสายพันธุ์โอไมครอนนั้น ข้อมูลจากนักวิชาการจากทั้ง รพ.ศิริราชและต่างประเทศระบุว่า อยู่ในช่วงกลางๆ และกำลังจะเข้าสู่ขาลง อย่างสหรัฐอเมริกาและยุโรปก็เริ่มลงแล้ว เนื่องจากเชื้ออ่อนแรงลง ฉีดวัคซีนครอบคลุมเพิ่มขึ้น และมีคนติดเชื้อไปมากแล้ว ซึ่งสถานการณ์ของประเทศไทยถือว่าค่อนข้างดี เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ อย่างมาเลเซียก็ติดเชื้อใหม่และสะสมมากกว่าไทย
นพ.เกียรติภูมิ กล่าวว่า สำหรับการประชุม ศบค.ชุดใหญ่ วันที่ 18 มี.ค. นี้ สธ.เตรียมเสนอผ่อนคลายมาตรการเข้าประเทศระบบ Test&Go เพื่อให้เกิดความคล่องตัวทางเศรษฐกิจ จากเดิมกำหนดว่า ผู้เดินทางจะต้องมีผลตรวจเชื้อเป็นลบด้วยวิธี RT-PCR ใน 72 ชั่วโมงก่อนเดินทาง และมาถึงแล้วให้ตรวจ RT-PCR ซ้ำอีกครั้งทันที ก็เสนอว่าไม่จำเป็นต้องตรวจ RT-PCR ใน 72 ชั่วโมงแล้ว เหลือเพียงการตรวจครั้งเดียวเมื่อมาถึงไทย และตรวจ ATK ด้วยตนเองซ้ำอีกครั้งในวันที่ 5 ของการเดินทาง ขณะที่วงเงินประกันสุขภาพผู้เดินทางเดิมกำหนด 5 หมื่นเหรียญสหรัฐ ก็เหลือ 1 หมื่นเหรียญสหรัฐ ซึ่งเราคำนวณจากค่าเฉลี่ยการรักษาพยาบาล ตอนนี้โรคเบาลงแล้ว จากเดิมเราเฉลี่ยค่ารักษา 1 ล้านบาทต่อราย ตอนนี้ก็เหลือเพียง 2 หมื่นบาทต่อราย
นพ.เกียรติภูมิกล่าวว่า นอกจากนี้จะรายงานต่อ ศบค.ชุดใหญ่ ถึงแผนการปรับโรคโควิด- 19 สู่โรคประจำถิ่น เนื่องจากการจะเข้าสู่โรคประจำถิ่นจะมีผลต่อการควบคุมโรค การดูแลรักษา สังคมและกฎหมาย ศบค.จึงต้องรับทราบเพราะดูแลเรื่องสังคมและกฎหมาย ส่วนเรื่องการแพทย์ก็อยู่ในส่วนของ สธ.อยู่แล้ว ซึ่งต้องพิจารณามิติทางสังคมและการแพทย์ให้สมดุลกัน เนื่องจากมีการออกมาตรการทางสังคมและกฎหมายหลาย 10 ฉบับในช่วงการระบาด จึงต้องปรับกฎหมายเข้าสู่ปกติ เช่น พ.ร.ก.ฉุกเฉิน รัฐบาลก็เตรียมการปรับเป็นการใช้ พ.ร.บ.โรคติดต่อ ที่มีเรื่องของการบริหารในภาวะฉุกเฉิน โดยเตรียมไว้ตั้งแต่ปีที่แล้ว เพื่อให้สอดรับกับแผนที่จะทำให้โควิดการระบาดใหญ่ ซึ่งการปรับเราต้องทำแบบขั้นบันได อาจต้องดูการประกาศจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ทั้งหมดต้องอยู่ในเงื่อนไขว่า ไวรัสไม่มีการกลายพันธุ์รุนแรงเข้ามา โดยต้องทำอย่างมีสเต็ป ไม่ใช่ว่า 4 เดือนแล้วจะเปิดหน้ากาก มีกิจกรรมสังคมเต็มที่ อาจตั้งเป้าหมายอย่างเรื่องการใส่หน้ากาก ก็สนับสนุนให้คนป่วยใส่หน้ากาก ส่วนคนทั่วไปก็ผ่อนคลายมากขึ้นอาจไม่ใส่ในพื้นที่เปิดโล่ง เช่น สวนสาธารณะอาจจะเป็นแห่งแรกที่ไม่ต้องสวมหน้ากากเพื่อให้ชีวิตเป็นปกติ ส่วนกิจกรรมรวมกลุ่มก็อาจผ่อนคลายให้รวมตัวมากขึ้น เช่น สนามกีฬา คอนเสิร์ต เป็นต้น แต่ต้องมีมาตรการป้องกันอยู่ เพื่อไม่ให้เกิดเป็นคลัสเตอร์ใหญ่










