การระบาดของโควิดที่ทำให้ผู้คนต้องอยู่ที่บ้านมากขึ้นจากมาตรการควบคุมต่างๆ เช่น ล็อกดาวน์ ทำให้หลายคนประเมินว่า ‘การมีเพศสัมพันธ์’ หรือเซ็กส์ รวมถึง ‘การใช้ถุงยางอนามัย’ จะมีอัตราเพิ่มสูงขึ้น
แต่ดูเหมือนจะไม่ได้เป็นเช่นนั้น เมื่อผู้ผลิตถุงยางรายใหญ่ที่สุดในโลกบอกว่าเรื่องจริงนั้นตรงกันข้าม
โดย Goh Miah Kiat ซีอีโอบริษัทถุงยางอนามัยยักษ์ใหญ่ของโลกจากมาเลเซียอย่าง Karex กล่าวกับสำนักข่าว Nikkei Asia ว่า การใช้ถุงยางอนามัยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ลดลงถึง 40%
ทั้งนี้ Karex นั้นผลิตถุงยางอนามัยมากกว่า 5.5 พันล้านชิ้นต่อปี มีการดำเนินงานใน 140 ประเทศทั่วโลก และคู่แข่งที่ใกล้เคียงที่สุดของ Karex ก็คือ Thai Nippon Rubber ซึ่งผลิตถุงยางปีละ 2.2 พันล้านชิ้น
โดย Karex นั้นทำแบรนด์ถุงยางอนามัยของตัวเอง และรับจ้างผลิตให้กับแบรนด์อื่นๆ ทั่วโลกด้วย เช่น Durex อย่างไรก็ตาม แบรนด์ของบริษัทเองอย่าง One มีสัดส่วนยอดขายเป็น 17% ของยอดขายทั้งหมด
ท่ามกลางยอดขายถุงยางที่ซบเซา ทำให้ Karex จะใช้โอกาสจากความกังวลด้านสุขภาพจากการระบาดครั้งใหญ่ ก้าวเข้าสู่ธุรกิจการผลิตถุงมือทางการแพทย์ที่กำลังเฟื่องฟูแทน โดยจะเริ่มการผลิตในประเทศไทยภายในกลางปี 2565 นี้
Goh Miah Kiat ทายาทรุ่นที่ 3 ที่ขึ้นมาบริหารบริษัท กล่าวว่า “มันง่ายที่จะสรุปเอาว่าคนที่อยู่บ้านเนื่องจากมาตรการควบคุมนั้น ไม่มีอะไร (ทำ) แล้วก็มีเพศสัมพันธ์ใช่ไหม? แต่กลับไม่ใช่อย่างนั้น”
เขาอธิบายว่า ยอดขายถุงยางอนามัยที่ลดลงนั้นมาจากหลายสาเหตุด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น
-ในประเทศกำลังพัฒนาและด้อยพัฒนา โรงแรมและโมเต็ลมีบทบาทสำคัญในการเป็นพื้นที่ที่คนจะอยู่ใกล้ชิดกัน แต่การระบาดของโควิดนั้นส่งผลกระทบต่อการเข้าพักในโรงแรมอย่างหนัก ส่งผลต่อการใช้ถุงยางอนามัยไปด้วย
-อุตสาหกรรมทางเพศซึ่งเคยเป็นตลาดหลักของถุงยางอนามัย กลายเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อตลาดถุงยางน้อยมากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
-รัฐบาลหลายประเทศระงับการแจกถุงยางอนามัย ทำให้ยอดจำหน่ายถุงยางลดลง
จากดีมานด์ที่อ่อนแอ และการปิดโรงงานเนื่องจากมาตรการล็อกดาวน์ในมาเลเซีย ส่งผลให้ Karex มีผลประกอบการปีงบประมาณ 2563 ที่สิ้นสุดในเดือน มิ.ย. 2564 ขาดทุนไป 1 ล้านริงกิต (2.4 แสนเหรียญสหรัฐฯ) ขณะที่ปีงบก่อนหน้ามีกำไรสุทธิ 2.28 แสนริงกิต
ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่บริษัทขาดทุนนับตั้งแต่เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ในปี 2556
อย่างไรก็ตาม รายรับสำหรับปีงบประมาณ 2563 นั้นเพิ่มขึ้น 6% จากปีก่อนหน้าที่อยู่ที่ 419 ล้านริงกิต เนื่องจากยอดขายโดยรวมที่แข็งแกร่งขึ้นในอเมริกาและเอเชีย
Goh ยังกล่าวอีกว่า บริษัทยังเห็นการเติบโตของยอดขายในผลิตภัณฑ์อื่นที่ไม่ใช่ถุงยางอนามัย ได้แก่ สารหล่อลื่นสำหรับช่องคลอด, อุปกรณ์ทางการแพทย์อย่าง probe cover และสายสวนสำหรับท่อปัสสาวะ
อย่างไรก็ตาม ณ ขณะนี้ยอดขายถุงยางกลับกำลังเพิ่มขึ้นในทั่วโลก จากข้อสังเกตที่ว่าโรงงานในมาเลเซียและไทยผลิตสินค้าในปริมาณที่ใกล้ถึงจุดสูงสุดของกำลังการผลิตแล้ว
Goh กล่าวถึงโรงงานผลิตถุงมือยางทางการแพทย์ว่าจะเริ่มต้นด้วยกำลังการผลิต 500 ล้านชิ้นต่อปี มี 2 ไลน์การผลิต และจะขยายเป็น 10 สายการผลิต และ 2.5 พันล้านชิ้นต่อปีต่อไปในอนาคต
ขณะที่ Top Glove ซึ่งเป็นบริษัทสัญชาติมาเลเซียและผู้ผลิตถุงมือยางรายใหญ่ที่สุดของโลก ผลิตได้ประมาณ 1 แสนล้านชิ้นต่อปี
Goh กล่าวว่า วัสดุและเทคโนโลยีที่ใช้ผลิตถุงยางอนามัยและถุงมือนั้นคล้ายคลึงกัน แต่อุปสรรคก็คือการเข้าสู่ตลาดถุงมือที่มีผู้ผลิตจากมาเลเซียอยู่แล้ว คือ Top Glove, Supermax และ Hartalega ที่กินส่วนแบ่งราว 3 ใน 4 ของซัพพลายทั่วโลก
แต่ Karex ก็จะใช้ประโยชน์จากบทบาทของมาเลเซียในฐานะผู้ผลิตยางรายใหญ่ที่ส่งออกยางธรรมชาติ 450,000 เมตริกตันต่อปี เป็นอันดับที่ 4 ของโลกรองจากไทย อินโดนีเซีย และไอวอรี่โคสต์ เข้ามาสู้ในการทำตลาดครั้งนี้
Goh เตือนว่าการให้ความสำคัญกับการต่อสู้กับ COVID-19 ไม่ควรบดบังการต่อสู้กับการแพร่กระจายของโรคเอดส์ที่ยังคงมีอยู่ในทุกวันนี้
“เราต้องไม่มองข้ามข้อเท็จจริงอันน่าสะพรึงกลัวที่ว่า แม้ว่านี่จะเป็น 40 ปีหลังจากการตรวจพบผู้ป่วยเอดส์รายแรก แต่โลกเรายังคงรายงานผู้ติดเชื้อเอชไอวี 1.5 ล้านคน ผู้เสียชีวิต 680,000 คนต่อปีจากสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับโรคเอดส์” เขากล่าว โดยอ้างข้อมูลจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ที่อัปเดตเรื่องโรคเอดส์ทั่วโลก
และแม้จะมีการรักษาด้วยยาใหม่ๆ เพื่อต่อสู้กับโรคเอดส์ แต่ถุงยางอนามัยยังคงมีความสำคัญต่อการป้องกันการแพร่กระจายของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์นี้ต่อไป
U.N. Global AIDS Update ประมาณการว่าการใช้ถุงยางอนามัยสามารถป้องกันการติดเชื้อใหม่ได้ 117 ล้านครั้งตั้งแต่ปี 1990 โดยเกือบครึ่งหนึ่งอยู่ในอนุภูมิภาคซาฮาราแอฟริกา และมากกว่าหนึ่งในสามในเอเชียแปซิฟิก
ที่มา : https://asia.nikkei.com/Editor-s-Picks/Interview/Malaysia-s-Karex-COVID-lockdowns-dented-condom-demand










