เบื้องหลัง GOOD HOOD Community Engine ทรงพลังที่สุดของฝั่งธนฯ

เบื้องหลัง GOOD HOOD Community Engine ทรงพลังที่สุดของฝั่งธนฯ

GOOD HOOD  เทศกาลที่มาแรงที่สุดในย่านฝั่งธนเพิ่งจบลงไป อีเวนต์ที่มีกระแสความนิยมบนโซเชียลมีเดีย

แล้ว GOOD HOOD คืออีเวนต์ที่มีคอนเซ็ปต์อะไร? ทำไมแต่ละปีถึงจัดได้ชิคๆ คูลๆ ดีไซน์งานไม่ซ้ำโดนใจ Gen Z TODAY Bizview จะมาสรุปให้ฟัง

ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกันสักนิด

GOODHOOD เป็นเทศกาลที่ถูกจัดอย่างต่อเนื่อง ที่โกดังเสริมสุข (Sermsuk Warehouse) ริมแม่น้ำเจ้าพระยา โดยงานรวบรวมแบรนด์แฟชั่นและไลฟ์สไตล์จากแบรนด์ไทยหลายสิบเจ้า พร้อมบูธเสื้อผ้า-ของใช้ และมีโซนร้านค้าจำกัดจำนวน (limited drop) เพื่อสร้างความพิเศษให้กับผู้ที่มางาน และปีนี้ก็จัดขึ้นครั้งที่ 6 โดยเปิดขายบัตรเข้างานทั้งออนไลน์และออฟไลน์

และที่น่าสนใจคือ ปีนี้ GOOD HOOD กลับมาพร้อมบรรยากาศที่สดใหม่กว่าเดิม  ทั้งดีไซน์พื้นที่ที่ถ่ายรูปง่ายขึ้น แค่เดินเข้างานเราก็จะเจอบูธถ่ายรูป และรอบๆ ก็มีกิมมิคใหม่ที่แปลกตา มีบอลลูน UFO อยู่บนฟ้าใหญ่ๆ โดดเด่นแตะตา

ด้วยมู้ดงานริมแม่น้ำ มีทั้งดนตรีสด อาหารจากร้านดัง พื้นที่นั่งชิล และแสงไฟที่ถ่ายรูปสวยจนอยากแชร์ต่อ ทำให้อีเวนต์ถูกพูดถึงในกลุ่มคนรุ่นใหม่

ปีนี้งานมีความ ชิค คูล และโคซี่กว่าเดิมแบบรู้สึกได้ เป็นพื้นที่ที่เดินเพลินตั้งแต่ต้นจนจบ และกลายเป็นเดสติเนชันหลักของย่านฝั่งธนฯ ในช่วงปลายปีไปแล้วแบบเต็มตัว และสำคัญปีนี้ไม่ได้มีแค่ GOOD HOOD ที่จัด 4-7 ธันวาคม แต่มี GOOD FOOD จัดต่อไปด้วย ช่วงวันที่ 12-14 ธันวาคม

สิ่งที่หลายคนอาจไม่รู้คือ เบื้องหลังงานถูกขับเคลื่อนโดย คนรุ่นใหม่มี ‘แสนสิริ ศิริพรเลิศสกุล’ และ ‘ภัทราพร อร่ามเสรีวงศ์’ สอง Co-Founder โดยทั้ง 2 คน เคยมาแชร์ไอเดียไว้บนเวที  The Secret Sauce Summit 2025: Unleash the Business Beast

และนี่คือแนวคิดที่ทำให้ Good Hood ไม่เหมือนใคร และกลายเป็นเคสศึกษาสำหรับยุคที่ทุกแบรนด์อยากมี Community ของตัวเอง

[ GOOD HOOD งานชิคๆ คูลๆ ที่ผู้จัดรุ่นใหม่อินจริงๆ  ]

สอง Co-Founder เคยเล่าไวว่า GOOD HOOD ไม่ใช่งานตลาด ไม่ใช่งานแฟร์ และไม่ใช่คอนเสิร์ต แต่คือ “Connect Platform” ที่เชื่อมผู้คน แบรนด์ และครีเอเตอร์เข้าหากันอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่มีเส้นแบ่งระหว่างผู้จัด–ผู้ค้า–ผู้ชม ทุกคนเดินปะปนกันแบบสบายๆ เพราะพื้นที่ถูกออกแบบให้โปร่ง อิสระ และไม่มีความเป็นทางการเกินจำเป็น สิ่งที่ผสมกันอย่างลงตัวคือความชิล ความจริงใจ และความตั้งใจจนออกมาเป็นงานที่ดู “ธรรมชาติแบบตั้งใจ” ตามสไตล์ GOOD HOOD

หลักคิดที่ขับเคลื่อนงานนี้คือ “อินก่อน ถึงจะยั่งยืน” ทั้งสองผู้ก่อตั้งเชื่อว่า ถ้าคนจัดไม่อิน งานจะไม่มีเสน่ห์ ผู้บริโภคจับสัมผัสได้ทันทีว่าอะไรจริง อะไรฝืน ความอินจึงกลายเป็นเอกลักษณ์ที่ต่อยอดได้ในระยะยาว ข้อถัดมาคือ “เลือกคนที่ใช่ แล้วให้เล่นเต็มที่” ทีมงาน พันธมิตร โฮสต์ล้วนถูกเลือกจากความเชื่อที่ตรงกัน และได้รับอิสระในการทำงาน เพราะผู้จัดมองตัวเองเป็นแพลตฟอร์ม

อีกหนึ่งแกนสำคัญคือ “ประสบการณ์ต้องง่าย สนุก และเข้าถึงได้” GOOD HOOD ไม่ชอบงานที่ต้องลงทะเบียนหลายขั้นตอน หรือสร้างกำแพงแบบที่ทำให้คนรู้สึกเกร็ง ทุกจุดจึงถูกออกแบบให้เปิดรับ

ตั้งแต่การไม่ใช้รั้วไปจนถึงตำแหน่งร้านและเวทีที่ชวนให้เดินเข้าไปแบบไม่ต้องคิดเยอะ นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญกับความสม่ำเสมอ เพราะ “ความสม่ำเสมอสร้างเพื่อน ไม่ใช่แค่ผู้เข้าชม” การจัดต่อเนื่องและพัฒนาตามฟีดแบ็กทำให้ลูกค้ากลายเป็นแฟนงาน และแฟนงานกลายเป็นเพื่อนของ GOOD HOOD จริงๆ

ในมุมการตลาด ความจริงใจของงานยังสร้างพลังให้ UGC กลายเป็นสื่อหลัก ผู้คนสนุกจนอยากถ่ายรูป โพสต์ รีวิวเองแบบไม่ต้องเชิญชวน ทำให้เกิดคอนเทนต์จำนวนมหาศาลที่สร้างการรับรู้มากกว่าโฆษณาที่ซื้อแบบหลายเท่า สิ่งที่ตามมาคือชุมชนที่เติบโตพร้อมกันแบรนด์ไทยหน้าใหม่มีเวทีแจ้งเกิด คนรุ่นใหม่ได้รู้จักกันผ่านกิจกรรม สปอนเซอร์เริ่มมองเห็นพลังของงาน และธุรกิจรอบย่านก็ได้อานิสงส์ตามไปด้วย

ท้ายที่สุด GOOD HOOD ไม่ได้เป็นแค่แฟร์ แต่คือ “คอมมูนิตี้ที่มีชีวิต” ที่พิสูจน์ว่าความอิน ความจริงใจ และความเป็นมนุษย์ก่อนเสมอ สามารถสร้างพลังทางธุรกิจที่ยั่งยืนได้จริง ปีนี้ใครไปงานอาจมีรูปเพิ่มขึ้นหลายสิบรูปในมือถือ แต่สิ่งที่คนเอากลับบ้านจริงๆ คือความรู้สึกดีๆ แบบที่ทำให้เผลอพูดว่า “เดินเพลินจนลืมเวลาอีกแล้วว่ะ” ก็ย่อมได้..

แท็กที่เกี่ยวข้อง
AyosiriWriterAyosiri
เป็นนักข่าวการเงิน สนใจเรื่องการลงทุนและการตลาด ประวัติศาสตร์ อยากสื่อสารให้เรื่องเป็นเงินสำหรับทุกคน

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง
เบื้องหลัง GOOD HOOD Community Engine ทรงพลังที่สุดของฝั่งธนฯ