ศบค.เผยไทยติดโควิด-19 มีแนวโน้มลดลง แต่ต้องเฝ้าระวัง จ.นครศรีธรรมราช ติดเชื้อสุงขึ้นสวนทางกับภาพรวมของประเทศ ขณะที่ผลการเปิดประเทศ มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไทยแล้ว 13,397 ราย ในจำนวนนี้พบผู้ติดเชื้อรวม 10 ราย
วันที่ 5 พ.ย. 2564 พญ.สุมนี วัชรสินธุ์ ผอ.สำนักสื่อสารความเสี่ยงฯ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ในฐานะผู้ช่วยโฆษก ศบค. รายงานผลการรับผู้เดินทางจากต่างประเทศเข้าไทย ความคืบหน้าการเปิดประเทศว่า ตั้งแต่วันที่ 1-4 พ.ย. 2564 มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไทยที่สนามบินสุวรรณภูมิ จำนวน 2,086 ราย เป็นกลุ่ม Test & Go 1,864 ราย, กลุ่ม Sandbox 88 ราย และกลุ่ม Quarantine 683 ราย
รวมทุกสนามบินนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไปไทย จำนวน 13,397 ราย ในจำนวนนี้พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 จำนวน 10 ราย คือ ที่สนามบินสุวรรณภูมิ 9,210 ราย พบติดเชื้อ 3 ราย, สนามบินภูเก็ต 4,005 ราย พบติดเชื้อ 7 ราย และสมุย 182 ราย ยังไม่พบผู้ติดเชื้อ
สำหรับกลุ่มเดินทางเข้ามามากที่สุดอันดับแรกคือจาก สหรัฐฯ เยอรมนี, UK, ญี่ปุ่น, สวิตฯ, สวีเดน, เกาหลีใต้, เนเธอแลนด์, อาหรับเอมิเรตส์ และจีน
พญ.สุมนี กล่าวว่า จากการประชุมช่วงเช้าที่ผ่านมา มีการขอความร่วมมือเจ้าหน้าที่สายการบินต่างๆ ให้ตรวจสอบเอกสารหลักฐานผู้ที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยให้ครบถ้วน พร้อมกับย้ำขั้นตอนสำคัญคือการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วย RT-PCR ของโรงแรมที่รับนักท่องเที่ยวไปจะต้องมีระบบจับคู่กับโรงพยาบาล ให้ตรวจนักท่องเที่ยวและให้ได้ผลภายใน 6 ชม.ก่อนที่นักท่องเที่ยวจะเดินทางต่อไป หรือเข้าสู่ Sandbox ขอให้ ททท.กำกับติดตาม สถานประกอบการ โรงแรม ให้ปฏิบัตตามมาตรการอย่างเคร่งครัด เพื่อเปิดรับนักท่องเที่ยวอย่างปลอดภัย

ทั้งนี้ ที่ประชุมศปก.ศบค.มีความเป็นห่วงเรื่องการดำเนินงานในกิจกรรมที่มีความเสี่ยงในช่วงที่มีการผ่อนคลาย 2 เรื่อง คือ ขอเร่งรัดให้ร้านค้าสถานประกอบการร้านอาหารทำความเข้าใจและสร้างความร่วมมือให้ดำเนินการภายใต้มาตรการสาธารณสุข และฉีดวัคซีนให้กับพนักงาน เพื่อยกระดับสถานประกอบการโดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ เพื่อให้มีความพร้อมในการรองรับมาตรการผ่อนคลายอื่นๆที่จะตามมา
และการอนุญาตให้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ภายในร้านอาหาร ขอให้เจ้าของกิจการและสถานประกอบการทั้งหมดช่วยดำเนินการภายใต้มาตรการของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัดตามเวลาที่กำหนดไว้ โดยที่ประชุมศปก.ศบค.จะมีการประเมินสถานการณ์ทุก 2 สัปดาห์
เมื่อถามว่าในการเปิดรับนักท่องเที่ยวเข้ามา ศบค.มีแผนรองรับอย่างไรบ้าง หากมีการระบาดเกิดขึ้น
พญ.สุมณี ชี้แจงว่า มีการเตรียมพื้นที่สำหรับแผนเผชิญเหตุเมื่อมีสถานการณ์ที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อเพิ่มขึ้นในทุกพื้นที่ ซึ่งในการทำแผนเผชิญเหตุดังกล่าวมีการจัดทำภายใต้หลักการตามคำสั่งศบค.ฉบับที่ 11 ซึ่งมีเกณฑ์ในการพิจารณา 3 ข้อ คือ
- ความพร้อมในการรองรับผู้ติดเชื้อรายใหม่ ที่เป็นนักท่องเที่ยว
- ความพร้อมในการรองรับผู้ติดเชื้อที่เป็นประชาชนในพื้นที่
- ลักษณะการระบาดวิทยาของ โควิด-19 ในพื้นที่และการจัดระดับพื้นที่สถานการณ์ และทรัพยากรในการสอบสวนควบคุมโรค เมื่อมีการพิจารณาแล้วจะต้องมีการปรับว่าจะต้องมีการทำมาตรการอย่างไรเริ่มตั้งแต่ลดกิจกรรมสำหรับนักท่องเที่ยว จนถึงยุติการรับนักท่องเที่ยว ซึ่งจะต้องเป็นมติจากที่ประชุมคณะกรรมการจังหวัดนั้นๆในการดำเนินการซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามสถานการณ์
สำหรับรายงานสถานการณ์โควิด-19 วันนี้มีติดเชื้อเพิ่ม 8,148 รายราย แบ่งเป็น โดยเป็นในประเทศ 7,528 ราย รายใหม่ตรวจพบระบบเฝ้าระวังและบริการ 7,415 ราย จากการค้นหาเชิงรุกในชุมชน 113 ราย จากเรือนจำ 605 ราย และผู้เดินทางมาจากต่างประเทศเข้าสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ 15 ราย ทำให้มียอดผู้ป่วยยืนยันสะสม 1,951,572 ราย รักษาหายป่วยเพิ่ม 8,238 ราย รวมรักษาหายป่วยสะสม 1,834,730 ราย ผู้ป่วยรักษาอยู่ 97,300 ราย พบผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีอาการหนัก 2,118 ราย ใส่เครื่องช่วยหายใจ 461 ราย มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 80 ราย รวมเสียชีวิตสะสม 19,542 ราย โดยผู้เสียชีวิตเป็นเพศหญิงมากกว่าเพศชาย โดยเพศหญิง 51 ราย เพศชาย 29 ราย และภาคใต้มากที่สุดคือ 23 ราย
พญ.สุมณี กล่าวว่า ที่ประชุมศปก.ศบค. ได้วิเคราะห์ผู้เสียชีวิต ตั้งแต่การระบาดละลอกเดือนเม.ย.ที่ผ่านมาจนถึงวันที่ 4 พ.ย.2564 มีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 19,413 ราย โดยหักแบ่งในรายละเอียดจะเห็นว่าส่วนใหญ่ผู้เสียชีวิตจะเป็นเพศชายมากกว่าเพศหญิง และอายุอยู่ในช่วงมากกว่า 70 ปีขึ้นไป รองลงมาอยู่ใน ช่วงอายุ 60 ปี ถึง 69 ปี และอยู่ในช่วงอายุ 50 ปี ถึง 59 ปี ซึ่งผู้เสียชีวิตกว่า 86.5% เป็นผู้ที่มีโรคประจำตัว 3 อันดับแรก คือ โรคความดันโลหิตสูง ไขมันสูงและโรคอ้วน และหญิงตั้งครรภ์ที่เสียชีวิตอีก 68 ราย และมากกว่า 80% ของผู้เสียชีวิตไม่ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ประมาณ 18% ได้รับวัคซีน 1 เข็มและเกือบ 2% ได้รับวัคซีนครบ 2 เข็ม
อย่างไรก็ตามแนวโน้มผู้ติดเชื้อทั่วประเทศยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง เป็นสัดส่วนในพื้นที่ต่างจังหวัด 63% กทม.-ปริมณฑล 17% และชายแดนใต้ 20% แต่ จ.นครศรีธรรมราช อยู่ในพื้นที่สีแดงเข้ม จึงได้มีการจัดการด้วยมาตรการป้องกันแบบบูรณาการ โดย ศบค.ห้ามออกนอกเคหสถาน 23.00 – 03.00 น. จนถึงวันที่ 15 พ.ย.2564 แต่ จ.นครศรีธรรมราช ได้เพิ่มเวลาในการห้ามออกนอกเคหสถานเป็น 22.00 – 03.00 น. และมีการปิดชุมชนที่มีการระบาดเพิ่มขึ้น เพื่อจำกัดวงการแพร่ระบาด
จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ 10 จังหวัดอันดับแรก ข้อมูล ณ วันที่ 5 พ.ย.ประกอบด้วย กรุงเทพฯ 721 ราย สงขลา 493 ราย ปัตตานี 427 ราย เชียงใหม่ 403 ราย ยะลา 375 ชลบุรี 348 ราย นครศรีธรรมราช 294 ราย สมุทรปราการ 244 ราย นราธิวาส 213 และตรัง 205 ราย










