ศบค.ชี้โอไมครอนมีแนวโน้มติดเชื้อสูง กทม.พบการติดเชื้อแบบก้าวกระโดดจับตาคลัสเตอร์แคมป์ก่อสร้างดอนเมืองติดโควิดแล้ว 228 ราย

วันที่ 14 ก.พ. 2565 พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 (ศบค.) แถลงสถานการณ์โควิดประจำสัปดาห์ว่า ตัวเลขผู้ติดเชื้อทางฝั่งเอเชียมีทิศทางเพิ่มสูงขึ้น ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามีจังหวัดที่มีรายงานผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นเป็น 2 เท่า ได้แก่ กรุงเทพฯ สมุทรปราการ ชลบุรี นนทบุรี ภูเก็ต นครราชสีมา ราชบุรี สมุทรสาคร นครศรีธรรมราช นครปฐม และอีกหลายจังหวัดที่มีทิศทางผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้น เช่น ขอนแก่น เชียงใหม่ ปทุมธานี มหาสารคาม ระยอง ร้อยเอ็ด ฉะเชิงเทรา สุพรรณบุรี สระบุรี และเพชรบุรี
ผู้ช่วยโฆษก ศบค. ระบุว่า กระทรวงสาธารณสุขจำเป็นต้องเฝ้าระวังการติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและขณะนี้ผู้ป่วยส่วนใหญ่ติดเชื้อสายพันธุ์โอไมครอนอยู่ที่ 80% หมายความว่าอีกประมาณ 20% ยังเป็นเชื้อสายพันธุ์เดลตา ดังนั้นจะสรุปว่าขณะนี้เป็นการติดเชื้อโอไมครอนที่ไม่มีความรุนแรงก็ยังสรุปไม่ได้ และยังต้องเฝ้าระมัดระวังอย่างเข้มงวด หากดูตัวเลขผู้เสียชีวิตก่อนหน้า กทม.อยู่ที่ 1-2 คน แต่วันนี้,uผู้เสียชีวิตถึง 90 คน และ กทม.เป็นพื้นที่ที่มีผู้ป่วยเสียชีวิตมากที่สุด

- จับตาคลัสเตอร์แคมป์ก่อสร้างดอนเมือง
สำหรับรายงานผู้ติดเชื้อใน กรุงเทพฯ มี 2 คลัสเตอร์ที่น่าเป็นห่วงมีผู้ติดเชื้อเกิน 100 ราย ได้แก่ เขตราชเทวี และเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย ส่วนอีก 9 เขตมีผู้ติดเชื้อไม่ถึง 100 ราย แต่เกิน 60 ราย คือ หนองแขม ห้วยขวาง บางพลัด บางแค หลักสี่ ดอนเมือง ดุสิต สะพานสูง จตุจักร นอกจากนี้ยังพบคลัสเตอร์โรงเรียนอีก 13 แห่ง ทั้งโรงเรียนเด็กเล็ก อนุบาล มัธยม รวมถึงโรงเรียนประจำ ส่วนใหญ่เด็กติดเชื้อจากในครอบครัวและนำไปแพร่ในโรงเรียน
พญ.อภิสมัย กล่าวว่า มีคลัสเตอร์ใหญ่ คือ แคมป์ก่อสร้างที่ดอนเมืองพบผู้ติดเชื้อสะสมแล้ว 228 ราย จากคนงานทั้งหมด 758 ราย หรือติดเชื้อไปแล้ว 30.01% โดย กรุงเทพฯ วิเคราะห์ว่า การทำงานอาจไม่ใช่ปัจจัยหลักที่ติดเชื้อ แต่เป็นช่วงพักที่มีการสูบบุหรี่ร่วมกัน ใช้แก้วน้ำ กระติก กินข้าวร่วมกัน การนั่งรถรับ-ส่งที่แออัด รวมถึงห้องน้ำที่ใช้ร่วมกันก็เป็นอีกปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดการติดเชื้อด้วย
สำหรับตัวเลขผู้ติดเชื้อในกรุงเทพฯ ที่เข้ารักษาในระบบ Home Isolation หรือรักษาที่บ้านมีจำนวน 10,940 ราย มีเตียงเหลืออีก 40% ยืนยันได้ว่าเพียงพอสำหรับการรักษาผู้ป่วย แต่สิ่งสำคัญที่ต้องเน้นย้ำคือ ขอให้ประชาชนเร่งฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็ม 3 เพื่อลดความเสี่ยงติดเชื้อรุนแรงได้ และเมื่อเราจำเป็นต้องมีการผ่อนคลาย เปิดกิจการ กิจกรรมต่างๆและเปิดประเทศ เน้นย้ำประชาชนต้องปฏิบัติตามมาตรการส่วนบุคคลอย่างเข้มงวด










