สธ.ชงศบค.พิจารณาแผนคลายล็อกธุรกิจกลางคืน 20 พ.ค.นี้

สธ.ชงศบค.พิจารณาแผนคลายล็อกธุรกิจกลางคืน 20 พ.ค.นี้

COVID-19

ไทยเข้าสู่การเปลี่ยนผ่านเป็นโรคประจำถิ่น ‘อนุทิน’ ชงศบค. พิจารณาแผนคลายล็อกธุรกิจกลางคืน 20 พ.ค.นี้ คาดปลายเดือน พ.ค. – มิ.ย. ลดระดับเตือนภัยที่ระดับ 2

วันที่ 12 พ.ค. 2565 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ประชุมคณะกรรมการบูรณาการความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการจัดการสถานการณ์โรคโควิด-19 สู่โรคประจำถิ่น (Endemic) ครั้งที่ 1/2565 โดยมี นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม

นายอนุทิน กล่าวว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ขณะนี้เริ่มมีแนวโน้มลดลงและอยู่ในการควบคุม ประชาชนมีภูมิคุ้มกันที่มากเพียงพอ สามารถเข้าสู่การเป็นโรคประจำถิ่นหรือโรคติดต่อทั่วไปได้ จึงต้องเตรียมการเพื่อปรับรูปแบบการบริหารจัดการและการผ่อนคลายมาตรการต่างๆ ให้ประชาชนกลับมาดำเนินชีวิตในวิถีปกติใหม่และฟื้นฟูเศรษฐกิจ ซึ่งต้องดำเนินการอย่างรอบคอบรัดกุมและบูรณาการทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง

“การประชุมครั้งแรกวันนี้ ที่ประชุมได้เห็นชอบข้อเสนอการบูรณาการความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการจัดการสถานการณ์โรคโควิด-19 สู่โรคประจำถิ่น โดยมีเป้าหมายเพื่อกำหนดมาตรการทางการแพทย์และสาธารณสุข มาตรการทางเศรษฐกิจ และมาตรการทางสังคมและองค์กร ให้มีความสมดุลสอดคล้องกัน รวมถึงการสร้างความร่วมมือของประชาชนในการรับมือและปรับตัวเพื่ออยู่ร่วมกับโควิด-19 ที่เปลี่ยนมาเป็นโรคประจำถิ่นหรือโรคติดต่อทั่วไปได้อย่างปลอดภัย” นายอนุทิน กล่าว

จากแผนและมาตรการบริหารจัดการสถานการณ์โควิด-19 สู่โรคประจำถิ่น 4 ระยะ คือ ระยะต่อสู้กับโรค (Combatting) ระยะโรคทรงตัว (Plateau) ระยะโรคลดลง (Declining) และระยะหลังการระบาด (Post pandemic)

ขณะนี้ประเทศไทยอยู่ในระยะทรงตัว จึงประกาศลดระดับการเตือนภัยโควิดจากระดับ 4 มาเป็นระดับ 3 พร้อมดำเนินงานในแต่ละด้าน คือ

1.ด้านสาธารณสุข เดินหน้าฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้ได้มากกว่าร้อยละ 60 เน้นเฝ้าระวังการระบาดที่เป็นกลุ่มก้อน และผู้ป่วยปอดอักเสบ และผ่อนคลายมาตรการสำหรับผู้เดินทางจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น

2.ด้านการแพทย์ ปรับแนวทางการดูแลรักษาแบบผู้ป่วยนอก เน้นดูแลผู้ป่วยที่เสี่ยงอาการรุนแรง มีอาการรุนแรง และภาวะลองโควิด

3.ด้านกฎหมายและสังคม เตรียมการด้านกฎหมายของทุกหน่วยงานให้สอดคล้องกับการปรับตัวสู่การเป็นโรคประจำถิ่น ลดการจำกัดการเดินทางและการรวมตัวของคนหมู่มาก ส่งเสริมมาตรการ Universal Prevention และมาตรการ COVID Free Setting

4.ด้านการสื่อสารประชาสัมพันธ์ เน้นการสร้างความรู้ความเข้าใจในการใช้ชีวิตร่วมกับโรคโควิด-19 อย่างปลอดภัย

ทั้งนี้ คาดว่าช่วงปลายเดือน พ.ค.-มิ.ย.นี้ สถานการณ์จะเข้าสู่ระยะโรคลดลง (Declining) และจะมีการผ่อนคลายมากขึ้น รวมถึงจะประกาศลดระดับการเตือนภัยเป็นระดับ 2

นายอนุทิน กล่าวว่า การเข้าสู่โรคประจำถิ่น ไม่ได้หมายความว่า โควิด-19 จะไม่ได้เป็นโรคอันตราย หรือไม่ได้เอาใจใส่ แต่จะทำให้มั่นใจว่า ระบบต่างๆ จะสามารถรองรับ ยาพอ-เตียงพอ-หมอพอ เชื่อว่า 3 ปัจจัยนี้สามารถทำให้โควิด-19 เปลี่ยนผ่านสู่โรคประจำถิ่นได้

สำหรับแผนการบริหารเข้าสู่โรคประจำถิ่นต้องมีการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้ได้มากกว่าร้อยละ 60 ของประชากร ปรับระบบการเฝ้าระวัง ผู้ป่วยปอดอักเสบลดลง ปรับแนวทางแยกกักผู้ป่วยและกักกันผู้สัมผัสเสี่ยงสูง รวมถึงผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆสำหรับผู้เดินทางจากต่างประเทศเข้าไทย ส่วนการเสนอขอยกเลิกระบบ Thailand Pass จะต้องเสนอเรื่องเข้าที่ประชุม ศบค. เพื่อพิจารณาอีกครั้ง

นายอนุทิน กล่าวว่า ในส่วนของกระทรวงสาธารณสุขเองจะต้องมีมาตรการที่ให้ความมั่นใจได้ว่าจะควบคุมการแพร่ระบาดของโรคได้ และเตรียมเสนอผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19 ในสถานบันเทิง ผับ บาร์ คาราโอเกะ เสนอต่อที่ประชุม ศบค. ในวันที่ 20 พ.ค.นี้

TODAYWriterTODAY

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง