‘อนุทิน’ ไม่หวั่นศึกอภิปราย ยันทำงานตามหลักวิชาการ พร้อมระบุ โควิด-19 ของไทยดีขึ้น แต่ขออย่าชะล่าใจ
วันที่ 30 ส.ค. 2564 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ขณะนี้สถานการณ์โควิด-19 ของไทย อยู่ในช่วงขาลง การติดเชื้อรายใหม่ชะลอตัว ก็เป็นผลมาจากความร่วมมือของประชาชน ภาคธุรกิจ และทุกภาคส่วน ที่เห็นความสำคัญของมาตรการป้องกันและควบคุมโรค ทำให้ขณะนี้ ศบค. เห็นชอบให้ผ่อนคลายมาตรการ กิจกรรมบางส่วน ให้ประชาชนได้เริ่มกลับมาใช้ชีวิตแบบวิถีใหม่
นายอนุทิน กล่าวว่า แม้สถานการณ์ดูว่าดีขึ้น แต่อย่าชะล่าใจ ทุกคนยังต้องปฏิบัติตามหลักการป้องกันโรคครอบจักรวาล หรือ universal Prevention ตระหนักเสมอว่าคนที่เราอยู่ใกล้ ไม่ว่าจะสนิทแค่ไหน ก็มีโอกาสแพร่หรือรับเชื้อซึ่งกันและกันได้ ยังต้องขอความร่วมมือประชาชนในการเข้มงวดการสวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง ล้างมือ และทำงานจากที่บ้าน (Work from Home)
ในส่วนของผู้ประกอบการต้องเตรียมพร้อมเปิดกิจการในส่วนที่ได้รับการผ่อนคลาย พนักงานในร้านต้องโควิดฟรี (COVID-19 Free) ปลอดเชื้อและได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ทุกคน ผู้ที่จะเข้าใช้บริการร้านอาหารก็เช่นเดียวกัน เราจะสร้างพื้นฐานป้องกันโรคเพื่ออยู่ร่วมโรคโควิด-19
นายอนุทิน กล่าวว่า ที่สถานการณ์ดีขึ้นได้ ส่วนสำคัญเพราะได้รับความช่วยเหลือจากประชาชนที่ให้ความร่วมมือกันเป็นอย่างดี ต้องขอบคุณทุกความร่วมมือ วันนี้ตัวเลขผู้ป่วยใหม่ลด ผู้ป่วยหายมากขึ้นแต่ยังชะล่าใจไม่ได้ ต้องย้ำประชาชนทุกคน ผู้ประกอบการขอให้เข้มงวดมาตรการต่อเนื่อง วันนี้เราอาจจะยุ่งยากกันหน่อยแต่ถ้าสถานการณ์ดีขึ้น พร้อมไตรมาส 4 เรามีวัคซีนมากขึ้น มีการฉีดถ้วนหน้าขึ้น มาตรการก็จะค่อยๆ ผ่อนคลาย ให้กลับมาใช้ชีวิตใกล้เคียงปกติที่สุด
นายอนุทิน กล่าวถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า ขณะนี้กำลังเตรียมข้อมูลเพื่ออธิบายต่อประชาชน แต่ยืนยันว่าการทำงานอยู่บนหลักวิชาการ บริหารสถานการณ์ตามสถานการณ์จริงที่มีการปรับเปลี่ยนตามไวรัสอยู่ตลอดเวลา และสิ่งสำคัญคือเรามีคณะทำงานในทุกด้าน เพื่อประกอบการตัดสินใจในแต่ละเรื่อง
ส่วนประเด็นอภิปรายที่ระบุถึงเรื่อง การควบคุมโควิด-19 ที่ล้มเหลวและบริหารวัคซีนที่ผิดพลาดนายอนุทิน กล่าวสั้นๆ ว่า บุคลากรสาธารณสุขทุกท่าน ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ต่างก็ทำงานอย่างเต็มที่ ไม่ท้อถอยไม่ลดละความพยายาม และที่สำคัญคือไม่เสียขวัญกำลังใจ การจัดการทุกอย่างล้วนยืนอยู่บนหลักวิชาการทั้งสิ้น










