สธ.เผยช่วง 2 สัปดาห์ พบเด็กเล็กติดโควิดเพิ่มขึ้น ขณะนี้มีการเดินหน้าฉีดวัคซีนโควิดเด็กอย่างต่อเนื่อง
วันที่ 10 ก.พ. 2565 นพ.วิชาญ ปานวัน ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข แถลงข่าวสถานการณ์การติดเชื้อในกลุ่มเด็ก ระบุว่า จะเห็นว่า การติดเชื้อระลอกหลัง ของเดลตาและโอไมครอนพบการติดเชื้อในเด็กสูงขึ้น โดยเฉพาะกลุ่ม 5 – 11 ปี แต่แม้ว่าจะติดเชื้อเพิ่มขึ้นแต่อาการค่อนข้างน้อย ซึ่งสิ่งที่กังวล คือการเกิดภาวะ MIS – C ซึ่งเป็นภาวะการอักเสบของอวัยวะหลายระบบ ที่เกิดหลังการติดเชื้อโควิด ในกลุ่มผู้ป่วยเด็ก ดังนั้นจึงควรมีการเร่งรัดการฉีดวัคซีนในกลุ่มเป้าหมายเด็กเพื่อป้องกันการแพร่ระบาด และสามารถเปิดโรงเรียนได้อย่างปลอดภัย
โดย ได้ดำเนินการฉีดวัคซีนให้กับเด็กกลุ่ม 5-11 ปี ตั้งแต่วันที่ 31 ม.ค. – 8 กม.พ. 2565 ได้ฉีดให้เด็กไปแล้ว 66,156 คน จากเด็กในช่วงอายุเดียวกันที่มีจำนวนกว่า 5.1 ล้านคนทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุข ยืนยันว่า ในการนำวัคซีนมาฉีดให้กับเด็ก นั้น ได้พิจารณาในหลายด้าน มีการพิจารณาโดยคณะกรรมการ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในหลายภาคส่วน ก่อนจะนำมากำหนดเป็นแนวทางว่า ควรฉีดวัคซีนประเภทไหน สูตรไหน เพื่อความปลอดภัยของเด็กให้มากที่สุด ขอให้มั่นใจว่าวัคซีน และสูตรวัคซีนที่กระทรวงสาธารณสุขให้คำแนะนำได้ผ่านการพิจารณาอย่างรอบคอบ อยู่บนพื้นฐานข้อมูลทางวิชาการ
สำหรับวัคซีนที่แนะนำสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี มีดังนี้
อายุ 5 – 11 ปี เข็ม 1 ฉีดไฟเซอร์ (ฝาส้ม) และ 2 ระยะห่างระหว่างเข็ม 8 สัปดาห์
อายุ 6 – 17 ปี ฉีดซิโนแวค เข็ม 1 และ 2 ระยะห่างระหว่างเข็ม 4 สัปดาห์
อายุ 12 – 17 ปี ฉีดไฟเซอร์ (ฝาม่วง) เข็ม 1 และ 2 ระยะห่างระหว่างเข็ม 3 – 4 สัปดาห์
อายุ 12 – 17 ปี แบบสูตรไขว้ ซิโนแวค และไฟเซอร์ (ฝาม่วง) ระยะห่างระหว่างเข็ม 4 สัปดาห์











