ในงานเสวนาที่เพิ่งจัดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้อย่าง ‘MQDC Sustainnovation Forum 2022 เมืองเปลี่ยน คนต้องปรับ รับมือวิกฤตอย่างไร’ โดย 4 องค์กรสำคัญด้านการพัฒนาเมืองทั้ง FutureTales Lab, RISC, Creative Lab และ Unisus-EEC เปิดเผยข้อมูลงานวิจัยของสภาพเมืองแห่งอนาคตที่มีแนวโน้มน่าเป็นห่วง
พร้อมระดมแนวคิดและโซลูชันจากทีมนักวิจัย นักวิชาการ สถาปนิก วิศวกร และนวัตกร ในการรับมือกับวิกฤตต่างๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นเพื่อร่วมกันขับเคลื่อนกรุงเทพมหานครฯ ในฐานะ Resilient City ไปสู่ทิศทางที่เหมาะสมและยั่งยืนมากที่สุด
[ ฉากทัศน์เมืองอันไม่พึงประสงค์ ]
ดร.การดี เลียวไพโรจน์ ผู้อำนวยการบริหาร ศูนย์วิจัยอนาคตศึกษา ฟิวเจอร์เทลส์ แล็บ (FutureTales Lab) ซึ่งทำหน้าที่ศึกษาวิจัย คาดการณ์อนาคตและแนวโน้มการอยู่อาศัยในสังคมเมือง ได้นำเสนอการคาดการณ์อนาคตของเมืองปี 2050 โดยพิจารณาจากข้อมูลการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก อัตราการใช้พลังงาน และพฤติกรรมของผู้คน
พบว่าโลกในอนาคตจะเต็มไปด้วยมลภาวะที่ทำให้การอยู่อาศัยของมนุษย์กลายเป็นเรื่องที่ยากกว่าในปัจจุบันอย่างเทียบไม่ติด
โดยอุณหภูมิทุกแห่งจะสูงขึ้นเฉลี่ย 1.5 องศาเซลเซียส ทำให้น้ำทะเลหนุนสูงขึ้นมากกว่า 1 เมตร ส่งผลทำให้มีผู้คนต้องย้ายถิ่นฐานมากถึง 200 กว่าล้านคน และมีผู้ที่ต้องประสบภัยพิบัติกว่า 400 ล้านคน จากการขาดแคลนน้ำและอาหาร รวมถึงภัยแล้งสุดขั้ว
ซึ่งประเทศไทยก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น เพราะการเคลื่อนย้ายประชากรและการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจในปัจจุบันล้วนเชื่อมโยงถึงกันทั่วโลก และสิ่งที่จะเกิดขึ้นค่อนข้างแน่นอนคือ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศจะสูงขึ้น 8 เท่า ในขณะที่ฝุ่น PM 2.5 จะสูงขึ้น 5 เท่าของในปัจจุบัน
ฟิวเจอร์เทลส์ แล็บ ยังคาดการณ์ว่าฉากทัศน์เมืองกรุงเทพฯ ในอนาคตปี 2050 จะออกมาเป็น 2 รูปแบบ คือ
1.ฉากทัศน์เมืองในโดมฟอกอากาศขนาดยักษ์ ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยเฉพาะกลุ่มของคนที่มีต้นทุนและโอกาสทางสังคมสูงเท่านั้น ในขณะที่ชุมชนส่วนใหญ่ต้องใช้ชีวิตอยู่นอกโดม ต้องเผชิญกลุ่มหมอกควันและมลพิษ และวิกฤตน้ำท่วมอยู่เสมอ
2.ฉากทัศน์การโยกย้ายถิ่นฐานครั้งใหญ่ของสังคมมนุษย์ เพื่อแสวงหาพื้นที่ใหม่เพื่อดำรงชีวิต ซึ่งทั้ง 2 ฉากทัศน์นี้ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นจริง
อย่างไรก็ตาม เรายังมีโอกาสร่วมมือกันปรับทิศทางอนาคตเมืองให้ดีขึ้น โดยการร่วมกันเปลี่ยนแปลงทั้งในระดับนโยบาย การพัฒนาโครงการ และพฤติกรรมของผู้คนบนแนวคิด ‘Not Only Urbanscape But Also Humanscape’
[ เทรนด์การพัฒนาเมืองเพื่อสร้าง Urbanscape ที่ยั่งยืน ]
จากแนวโน้มเมืองในอนาคตของไทยที่น่าจะเกิดวิกฤตที่สร้างความตื่นตระหนกและความเครียดต่อผู้คนสูงมาก (Shocks & Stresses) และจากข้อมูลที่บ่งชี้ว่าในอนาคตประชากรบนโลกจะอาศัยอยู่ในเมืองมากถึง 70%
รศ.ดร.สิงห์ อินทรชูโต หัวหน้าคณะที่ปรึกษาศูนย์วิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (RISC) จึงมองว่าการแก้ไขต้องเริ่มต้นที่ ‘สร้างสังคมเมือง’ โดยอิงจากกรอบความคิดสำหรับโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่พัฒนาขึ้นให้มีความพร้อมรับมือกับความไม่แน่นอนของอนาคตที่จะมาถึง
ซึ่งกลุ่มปัจจัยความไม่แน่นอนนั้นมีอยู่ 3 ด้าน ได้แก่
-กลุ่มธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (Nature & Environment) อาทิ สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรม ปัญหาเรื่องน้ำ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก น้ำท่วม ภัยแล้ง เป็นต้น
-กลุ่มที่สอง เป็นเรื่องการใช้ชีวิตและโครงสร้างพื้นฐาน (Living & Infrastructure) เช่น อุบัติการณ์ไม่คาดฝัน ปัญหาสุขภาพ และการหยุดชะงักของบริการสาธารณูปโภค
-สุดท้าย กลุ่มสังคมและเศรษฐกิจ (Society & Economy) เช่น วิกฤตเศรษฐกิจและค่านิยมทางวัฒนธรรมที่เปลี่ยนแปลงไป เหตุการณ์ความไม่สงบ ความไม่เท่าเทียมในการเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐาน และประเด็นทางสังคม
เนื่องจากพื้นที่แต่ละแห่งในประเทศไทยมีความแตกต่างกัน จึงน่าจะประสบปัญหาต่างๆ กันไป จึงต้องพิจารณาแยกรายพื้นที่และนำ Resilience Framework มาจับเพื่อตั้งรับและปรับตัวได้ตรงจุด
ยกตัวอย่างเช่น การสร้าง Framework เฉพาะกลุ่มปัญหาเรื่องน้ำของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เราอาจพิจารณาความเสี่ยงที่คาดว่าจะเกิดขึ้นโดยเฉพาะปัญหาน้ำท่วมจากฝนตกหนัก และน้ำท่วมจากแม่น้ำหนุนสูง และลดน้ำหนักด้านการป้องกันภัยแล้งลง เป็นต้น
ซึ่งเมื่อเราพิจารณากลุ่มของปัญหาทั้งหมดให้ครบถ้วน เราจะได้ Framework ที่สมบูรณ์ซึ่งเหมาะสมกับแต่ละพื้นที่หรือเมืองที่มีความจำเป็นแตกต่างกัน ทำให้เราสามารถมองเห็นโซลูชันในการสร้างเมืองนั้นๆ รวมถึงการป้องกันและแก้ปัญหาต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นได้อย่างตรงจุด และลงทุนเฉพาะสิ่งที่จำเป็นอย่างมีประสิทธิภาพ
ภายใต้กรอบ Resilience Framework For City Developments แต่ละด้านจะมีความท้าทายปลีกย่อยที่แตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ ด้วยเหตุนี้ RISC จึงดำเนินการวิจัยและบูรณาการหลายศาสตร์ เพื่อนำเสนอโซลูชันที่สร้างความอยู่ดีมีสุขของทุกสรรพสิ่ง (For All Well-Being) ผ่านการประยุกต์ใช้องค์ความรู้และสร้างนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน ภายใต้ RISC 5 Research Hubs ได้แก่
- Plants & Biodiversity: ศึกษาความหลากหลายทางชีวภาพ
- Air Quality: ศึกษาปัจจัยในการสร้างคุณภาพอากาศที่ดีทั้งภายในและภายนอกอาคาร
- Happiness Science: ศึกษาการทำงานของสมองเพื่อสร้างความสุขด้วยวิทยาศาสตร์
- Materials & Resources: ศึกษาวัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและดีต่อสุขภาวะ
- Resilience: ศึกษาด้านความเสี่ยงและภัยพิบัติในสภาพแวดล้อมเพื่อวางแผนรับมือ
ด้าน ‘เกชา ธีระโกเมน’ ประธานคณะกรรมการ กลุ่มบริษัท EEC และประธานกรรมการ บริษัท ยูนิซัส กรีน เอ็นเนอร์จี จำกัด เสนอว่าการทำงานด้านวิศวกรรมนั้นต้อง “คิดในทิศทางใหม่” อย่างจริงจัง
คือจากเดิมที่หน้าที่ของทีมวิศวกรในโครงการคือเพียงแค่ทำให้น้ำไหลไฟสว่างและแอร์เย็น แต่ถ้าต้องการเปลี่ยนแปลงอนาคต ทีมวิศวกรจะต้องเปลี่ยนกระบวนการทำงาน โดยเริ่มจากการออกแบบระบบของโครงการที่อยู่อาศัยตั้งแต่ระดับพื้นฐานเลยทีเดียว
ยกตัวอย่างเช่น แต่เดิมวิศวกรจะออกแบบระบบปรับอากาศเพื่อทำให้อาคารเย็น แต่วันนี้ต้องเปลี่ยนเป็นออกแบบระบบให้ผู้อยู่อาศัยรู้สึกเย็นสบายโดยใช้ระบบปรับอากาศให้น้อยที่สุดหรือไม่ใช้เลย เพื่อเปลี่ยนจาก Heat Urban ให้กลายเป็น Cool Urban
และแทนที่จะเป็นโครงการที่สร้างมลภาวะ แต่กลับเป็นโครงการที่ช่วยลดมลภาวะได้ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแนวทางและวิธีการคิดทั้งหมดเพื่อแก้ปัญหามวลความร้อนในเขตเมืองที่ต้นเหตุ เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าการใช้พลังงานของทุกระบบวิศวกรรม เป็นเหตุให้เกิดความร้อนสะสม
[ ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนคือหัวใจสำคัญ ]
ดังที่ฟิวเจอร์เทลส์ แล็บ ได้ชี้ไว้ในเบื้องต้นว่า การเปลี่ยนแปลงอนาคตจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานรัฐซึ่งมีหน้าที่กำหนดนโยบายที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม บริษัทผู้พัฒนาโครงการที่ต้องเล็งเห็นถึงความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงอนาคตเมือง และถือประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อมเป็นอีกหนึ่งตัวชี้วัดความสำเร็จของบริษัทนอกจากเม็ดเงิน
และส่วนสำคัญที่สุดคือภาคประชาชนที่ต้องร่วมขับเคลื่อนการสร้างเมืองแห่งอนาคตที่ยั่งยืน ที่ซึ่งทุกคนจะสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขทั้งกับเพื่อนมนุษย์ กับสิ่งมีชีวิตต่างๆ รวมถึงโลกใบนี้










