สรุปภาษีคริปโต กรมสรรพากรจะให้เอาขาดทุนหักลบกำไรได้ ในปีภาษีเดียวกัน แต่ต้องเทรดใน Exchange ที่อยู่ภายใต้การกำกับของ ก.ล.ต. เท่านั้น รวมไปถึงจะทำการยกเว้นหักภาษี ณ ที่จ่าย 15% ตามที่เป็นข่าวก่อนหน้านี้ ส่วนในอนาคตจะให้ Exchange เป็นคนหักภาษีส่งโดยอัตโนมัติ
กรมสรรพากร เปิดเผยแนวทาง จัดเก็บภาษีสินทรัพย์ดิจิทัล สรุปได้ดังนี้
1) ขาดทุนหักลบกำไรได้ ในปีเดียวกัน แต่ต้องเทรดผ่าน Exchange ในกำกับเท่านั้น
การคำนวณภาษีเงินได้พึงประเมิน (กำไร) นั้น ทางกรมสรรพากรจะดำเนินการเสนอให้มีการออกกฎกระทรวงเพื่อให้สามารถนำผลขาดทุนมาหักกลบกับกำไรได้ในปีภาษีเดียวกัน ซึ่งจะสามารถเข้าเงื่อนไขนี้เฉพาะ ผู้ประกอบธุรกิจ หรือ Exchange ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เท่านั้น
2) ไม่มีภาษี ณ ที่จ่าย 15% ตามที่เคยเป็นข่าว
ภาษีหัก ณ ที่จ่ายนั้น กรณีธุรกรรมที่กระทำผ่าน Exchange ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) จะไม่สามารถระบุตัวตนผู้รับเงิน และไม่ทราบจำนวนเงินได้ที่ต้องหัก ณ ที่จ่าย ทำให้ไม่ครบองค์ประกอบการหักภาษี ณ ที่จ่าย จึงไม่จำเป็นต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้แต่อย่างใด
3) เตรียมยกเลิกภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่ต้องเทรดผ่าน Exchange ในกำกับเท่านั้น
ในประเด็นเรื่องภาษีมูลค่าเพิ่ม กรมสรรพากรจะเสนอพระราชกฤษฎีกาให้ยกเว้น VAT สำหรับธุรกรรมที่กระทำผ่าน ผู้ประกอบธุรกิจ หรือ Exchange ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และสินทรัพย์ดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย
ส่วนในอนาคต การเก็บภาษีคริปโต จะให้ Exchange เป็นคนหักภาษี และนำส่งกรมสรรพากรโดยอัตโนมัติ รวมถึงจะปรับการเก็บภาษีคริปโตเป็นรูปแบบ Transaction Tax
ในเอกสารของกรมสรรพากร ระบุว่า “กรมสรรพากรจะพิจารณาหารือร่วมกับชุมชนสินทรัพย์ดิจิทัล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อศึกษาความเป็นไปได้เชิงนโยบายในอนาคต เพื่อแก้ไขกฎหมายที่จำเป็นและเหมาะสม อาทิ การแก้ประมวลรัษฎากรมาตรา 50 ที่เกี่ยวกับภาษีหัก ณ ที่จ่าย โดยให้ผ่าน ผู้ประกอบธุรกิจ หรือ Exchange เป็นผู้หัก และนำส่งกรมสรรพากร การเปลี่ยนประเภทการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นภาษีธุรกิจเฉพาะ (Financial Transaction Tax) สำหรับสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีลักษณะเป็นหลักทรัพย์ เป็นต้น ทั้งนี้ต้องดูความเหมาะสมและบริบทต่าง ๆ โดยรอบอีกครั้ง”
‘เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ’ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า หลักเกณฑ์ทั้งหมดนี้เป็นผลมาจากการรับฟังความคิดเห็นที่มีผู้ร่วมตอบแบบสอบถามมากกว่า 3,000 คน และเป็นการทำงานร่วมกันของทุกฝ่ายทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง
กรมสรรพากร ระบุว่า ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา การประกอบธุรกิจและการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลมีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็วมาก โดยมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้นจาก 240 ล้านบาท เป็น 4,839 ล้านบาท มูลค่าทรัพย์สินของลูกค้าเพิ่มขึ้นจาก 9,600 ล้านบาท เป็น 114,539 ล้านบาท และมีจำนวนบัญชีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นจาก 1.7 แสนราย เป็น 1.98 ล้านราย
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจากกรมสรรพากรโดยตรงได้ที่ https://bit.ly/3AI1jun












