นับวันภัยไซเบอร์ยิ่งมีหลายรูปแบบ มิจฉาชีพมีพัฒนาการ หาวิธีที่แนบเนียนมากขึ้น ส่วนเหยื่อก็ไม่ได้จำกัดเฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ทุกคนเป็นเหยื่อได้ทั้งเด็ก คนสูงวัย คนมีรายได้น้อยไปจนถึงนักธุรกิจ นักลงทุน
นั่นเป็นเพราะมิจฉาชีพโจมตีจุดอ่อนสำคัญที่มีอยู่ในตัวเราทุกคน ซึ่งก็คือความกลัว และความอยากได้อยากมี
มิจฉาชีพหลอกให้ลงทุน และได้รับผลตอบแทนดีแค่ในช่วงแรก หลังจากนั้นก็กลายเป็นความสูญเสียที่อาจถึงขั้นหมดเนื้อหมดตัว หรือหลอกให้กลัวว่าจะถูกลงโทษขึ้นโรงขึ้นศาลจากการหนีภาษี แต่ถ้าอยากรอดคดี ก็ให้โอนทรัพย์สินให้ตรวจสอบ ไปจนถึงกรณีหลอกให้ส่งรูปส่วนตัวแลกกับเงิน เป็นต้น
ข้อมูลในภาพนี้ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี นำโดย พล.ต.ต.นิเวศน์ อาภาวศิน รองผู้บัญชาการ นำมาเปิดเผยในงานประกาศแคมเปญ “มีความรู้ก็อยู่รอด” โดย AIS กระตุ้นให้คนตระหนักถึงภัยไซเบอร์ผ่านวิดีโอโฆษณาที่ทำร่วมกับ Phenomena
ข้อมูลระบุว่าช่วงตั้งแต่ 1 มี.ค.-29 ต.ค. 65 มีเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับคดีออนไลน์เป็นแสนๆ เรื่อง และเมื่อมาดูว่าเหยื่อโนหลอกในรูปแบบไหนมากที่สุด พบว่าเป็น หลอกขายของออนไลน์ ซื้ออีกอย่างแต่ได้สินค้าอีกอย่าง, หลอกให้กลัวแล้วโอนเงิน โดยอ้างว่าเป็นตำรวจ เจ้าหน้าที่สรรพากร, หลอกให้ทำงาน/กู้เงิน/โอนเงิน, หลอกติดตั้งแอปดูดเงิน/ขโมยรหัสผ่าน, หลอกให้รักแล้วลงทุน
ซึ่งเราสามารถป้องกันตัวเองได้เบื้องต้น ตั้งแต่ตัดสาย นำเบอร์ไปเข้าแจ้งความ ไปจนถึงหาข้อมูลความรู้เพื่อป้องกันตัวเองและญาติพี่น้องไม่ให้ตกเป็นเหยื่อ ก่อนจะเกิดความสูญเสีย ถึงขั้นคอขาดบาดตายสำหรับใครหลายคน
