เพียงไม่กี่วันหลังจาก DeepSeek สตาร์ทอัพด้าน AI สัญชาติจีน เปิดตัวโมเดลการให้เหตุผล DeepSeek R1 โมเดล AI ใหม่ล่าสุด ปรากฎว่าแอปพลิเคชัน DeepSeek ก็พุ่งขึ้นอันดับ 1 บน App Store ของ Apple แซงหน้า ChatGPT ของ OpenAI ที่อยู่อันดับ 2 จนเป็นปรากฎการณ์ถูกพูดถึงกันทั่วซิลิคอนวัลเลย์
และยังส่งแรงกระเพื่อมไปที่ตลาดหุ้นเทคโนโลยีในสหรัฐฯ อย่างชัดเจน จนมีการถกเถียงถึงประเด็นนี้ทั้งในวงการเทคโนโลยีและตลาดทุนถึงผลกระทบต่อความเป็นผู้นำด้าน AI ของสหรัฐฯ และทิศทางของอุตสาหกรรม AI ในอนาคต
[ DeepSeek R1 จะมาเป็นตัวเปลี่ยนเกม AI ได้หรือไม่ ]
DeepSeek R1 ได้รับการออกแบบให้เป็น ‘โอเพ่นซอร์ส’ พร้อมความสามารถที่ถูกพูดถึงในแง่ที่ว่ามีประสิทธิภาพสูงในต้นทุนต่ำช่วยออกแบบโปรเจ็กต์หรือพัฒนาทักษะต่างๆ ได้ในไม่กี่นาที มีความเข้าถึงง่าย ใช้งานฟรีทั้งบนเว็บและแอปพลิเคชัน และมีรายงานว่าค่า API ต่ำกว่าคู่แข่งอย่างมาก
โมเดล R1 ของ DeepSeek มีประสิทธิภาพเทียบเท่าหรือเหนือกว่าโมเดล o1 ของ OpenAI ในการทดสอบตามเกณฑ์มาตรฐาน AI บางรายการ โดยบริษัทอ้างว่าโมเดลมีต้นทุนการฝึกฝนเพียง 5.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งต่างจากบริษัทชั้นนำของสหรัฐฯ ที่ต้องใช้เงินทุนหลายร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐในการฝึกฝนโมเดลของตนเอง
เบื้องหลังความสำเร็จของ DeepSeek R1 ได้รับการสนับสนุนจาก High-Flyer บริษัทของจีน โดยใช้งบประมาณที่จำกัด แต่ยังสามารถสร้างโมเดล AI ที่มีประสิทธิภาพสูง แม้จะพึ่งพา GPU H100 ของ Nvidia เพียง 50,000 ตัว ซึ่งเป็นรุ่นเก่ากว่าซีรีส์ล่าสุด (Blackwell)
DeepSeek ยังระบุในเอกสารเกี่ยวกับการสร้างโมเดล LLM (Large Language Model) ในงบประมาณที่ต่ำ ทำให้เกิดการตั้งคำถามว่าการลงทุนมหาศาลใน AI ของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ต่างๆ ในตลาดหุ้นวอลล์สตรีทนั้นจำเป็นจริงหรือไม่
[ ผลกระทบต่อตลาดหุ้นและ Nvidia ]
การเปิดตัว DeepSeek R1 ไม่ได้เพียงพลิกโฉมวงการ AI แต่ยังเปิดประเด็นสำคัญเกี่ยวกับการลงทุนในเทคโนโลยี
โดยหุ้น Nvidia ร่วงลงกว่า 3% ในวันศุกร์ (24 ม.ค.) มาอยู่ที่ 142.62 ดอลลาร์ แม้ภาพรวมสัปดาห์จะยังเพิ่มขึ้น ความสำเร็จของ DeepSeek R1 ทำให้เกิดความกังวลว่าความต้องการ GPU ระดับไฮเอนด์ของ Nvidia อาจลดลง หากนักพัฒนาหันไปใช้ฮาร์ดแวร์ที่ถูกกว่าเพื่อสร้าง AI
ความสำเร็จนี้กระตุ้นให้บริษัทยักษ์ใหญ่ในกลุ่ม Magnificent 7 หรือหุ้นกลุ่ม 7 นางฟ้า เช่น Microsoft, Meta, และ Alphabet เร่งพัฒนาระบบ AI ที่ใช้ต้นทุนต่ำ โดยเฉพาะNvidia อาจเผชิญความท้าทาย หากแนวโน้มการใช้ฮาร์ดแวร์ราคาถูกเพิ่มขึ้น
นักวิเคราะห์จาก Yardeni Research มองว่าการเรียนรู้จาก DeepSeek อาจช่วยให้บริษัทใหญ่เหล่านี้ลดค่าใช้จ่ายการลงทุนและเพิ่มกำไรได้ แต่สิ่งนี้อาจไม่ใช่ข่าวดีสำหรับ Nvidia
นอกจากนี้ยังมีประเด็นการที่จีนถูกจำกัดการเข้าถึงชิปรุ่นใหม่ของสหรัฐฯ นี่จึงยิ่งเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดนวัตกรรมที่เน้นต้นทุนต่ำของจีนขึ้นมา
ความสำเร็จแบบดังเร็วของ DeepSeek ที่ตอนนี้เกิดขึ้นท่ามกลางมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ที่ห้ามการจำหน่ายชิปประมวลผลขั้นสูงให้แก่บริษัทจีน ทำให้นักวิชาการเทคโนโลยีวิเคราะห์กันว่ามาตรการคว่ำบาตรกำลังผลักดันให้สตาร์ตอัปอย่าง DeepSeek พัฒนานวัตกรรมในแนวทางที่ให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพ การรวมทรัพยากร และความร่วมมือ
กรณีของ DeepSeek กลายเป็นการส่งสัญญาณว่า AI อาจก้าวไปข้างหน้าได้โดยไม่ต้องพึ่งพิงงบประมาณหรือใช้ทรัพยากรมหาศาลได้นั่นเอง
นักวิเคราะห์จาก JPMorgan มองว่า แม้ความกังวลเรื่องต้นทุน AI จะมีอยู่จริง แต่แนวโน้มในระยะยาวอาจสร้างความสมดุลระหว่างต้นทุนและความต้องการที่เพิ่มขึ้น และบริษัทใหญ่ในสหรัฐฯ อาจต้องปรับตัวเรียนรู้จาก DeepSeek เพื่อพัฒนาระบบ AI ที่มีต้นทุนต่ำขึ้นมา
ตอนนี้ DeepSeek R1 เป็นตัวอย่างของนวัตกรรมที่สร้างผลกระทบได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งทรัพยากรมหาศาล ความสำเร็จนี้ไม่เพียงเขย่าวงการ AI แต่ยังชี้ให้เห็นถึงความเป็นไปได้ใหม่ๆ ที่อาจเปลี่ยนแปลงสมรภูมิการแข่งขันในอนาคตเลยทีเดียว










