ในบทความที่แล้ว TODAY Bizview พูดถึงสงครามสตรีมมิ่งที่ Netflix เริ่มมาถึงทางตัน จาก ตัวเลขสมาชิกที่เติบโตยาก และมูลค่าหุ้นที่ลดฮวบ
แต่บางที ฝันร้ายของ Netflix อาจกำลังเพิ่งเริ่มต้น เมื่อ Disney+ สตรีมมิ่งที่เป็นคู่แข่งน่ากลัวจากยักษ์ใหญ๋ความบันเทิงอย่าง Disney กำลังขยายตัว
และล่าสุด Disney+ ประกาศเปิดตัวในอีก 42 ประเทศ ครอบคลุมภูมิภาคยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกาในช่วงฤดูร้อนที่จะถึงนี้
อย่างไรก็ตาม Disney+ ไม่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่าจะเปิดตัวในแต่ละประเทศวันที่เท่าไร และที่สำคัญคือยังไม่เปิดเผยราคาสมาชิก ซึ่งคาดว่าจะแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่
รายชื่อประเทศประกอบด้วย แอลเบเนีย, แอลจีเรีย, อันดอร์รา, บาห์เรน, บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา , บัลแกเรีย, โครเอเชีย, สาธารณรัฐเช็ก, อียิปต์, เอสโตเนีย, กรีซ, ฮังการี, อิรัก, อิสราเอล, จอร์แดน, โคโซโว, คูเวต, ลัตเวีย, เลบานอน, ลิเบีย, ลิกเตนสไตน์, ลิทัวเนีย, มอลตา, มอนเตเนโกร, โมร็อกโก, มาซิโดเนียเหนือ, โอมาน, ปาเลสไตน์, โปแลนด์, กาตาร์, โรมาเนีย, ซานมารีโน, ซาอุดีอาระเบีย, เซอร์เบีย, สโลวาเกีย, สโลวีเนีย, แอฟริกาใต้, ตูนิเซีย, ตุรกี, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, นครวาติกัน และเยเมน
นอกจากนี้ยังมีเขตเมืองแบะหมู่เกาะที่ Disney+ จะเปิดบริการเพิ่มเติมอีกจำนวนหนึ่งด้วย เช่น หมู่เกาะแฟโร เฟรนช์โปลินีเซีย เป็นต้น
Disney+ เปิดตัวครั้งแรกในสหรัฐอเมริกา แคนาดา และเนเธอร์แลนด์เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2019 และค่อยๆ เปิดตัวในตลาดหลักในเวลาต่อมาอย่าง ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน ปัจจุบันมียอดผู้ใช้บริการทั่วโลกถึง 118 ล้านรายแล้ว
Disney+ เองก็ประสบปัญหาเดียวกันกับ Netflix คือตลาดในสหรัฐฯเริ่มอิ่มตัว ยอดสมาชิกเพิ่มขึ้นยาก ทำให้ต้องตามหาพื้นที่ใหม่ๆ ในการให้บริการ
คอนเทนต์แม่เหล็กของ Disney+ คือการรวมหนังดังทั้งใหม่และเก่าของ Disney และ Marvel เข้าด้วยกัน และยังมีคอนเทนต์สร้างใหม่อย่าง The Mandalorian, The Falcon and The Winter Soldier, Loki, WandaVision เป็นต้น
ส่วนในประเทศไทยก็สามารถดูสตรีมมิ่งของ Disney+ ได้ แต่มาในรูปแบบของ Disney+ Hotstar ซึ่งเป็นบริการของบริษัทในอินเดีย ซึ่งบริษัทลูกของในเครือของ Disney อีกต่อหนึ่ง
และด้วยโมเดลของบริษัท Hotstar (ภายหลังรีแบรนด์เป็น Disney+ Hotstar) ทำให้มีคอนเทนต์ท้องถิ่นอื่นๆ นอกเหนือจากเครือ Disney อื่นๆ เข้ามาด้วย อย่างของไทยก็มีซีรีส์เกาหลีหลายเรื่อง เช่น ซอบก, Snowdrop รวมถึงหนังไทย
นอกจากนี้ Disney+ Hotstar แบบที่คนไทยได้ใช้ มีฟังก์ชันทางเทคโนโลยีที่ต่ำกว่า Disney+ คือไม่มีโปรไฟล์ ดูได้แค่สองหน้าจอ ในขณะที่ Disney+ สามารถสร้างโปรไลฟ์ได้ถึง 7 และดูได้พร้อมกัน 4 อุปกรณ์ แต่ Disney+ Hotstar มีค่าบริการถูกกว่า Disney+
ที่มา : The Verge, Hollywood Reporter, Workpoint TODAY










