DSI เห็นแย้งอัยการไม่ฟ้องคดี ‘บิลลี่ พอละจี’ ถูกอุ้มฆ่า ส่งอัยการสูงสุดชี้ขาด

DSI เห็นแย้งอัยการไม่ฟ้องคดี ‘บิลลี่ พอละจี’ ถูกอุ้มฆ่า ส่งอัยการสูงสุดชี้ขาด

ในประเทศ
DSI เห็นต่างคำสั่งอัยการไม่ฟ้อง ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร กับพวก ในคดีฆาตกรรมบิลลี่ แกนนำกะเหรี่ยง ส่งหนังสือให้อัยการสูงสุดพิจาณาอีกครั้ง

พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานปะภากร อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ

วันที่ 11 ส.ค. 2563 พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานปะภากร อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่กองบริหารคดีพิเศษ นำสำนวนการสอบสวนคดีพิเศษที่ 13/2562 กรณีการฆาตกรรมนายพอละจี หรือบิลลี่ รักจงเจริญ แกนนำชุมชนกะเหรี่ยงบ้านโป่งลึก-บางกลอย แก่งกระจาน พร้อมความเห็นของอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษในประเด็นแย้ง ผลการสั่งคดีดังกล่าว ส่งอัยการสูงสุดเพื่อดำเนินการตามกฎหมาย
กรณีดังกล่าว ดีเอสไอ ได้สืบสวนกรณีการหายตัวไปของ นายพอละจี ที่หายตัวไปภายหลังถูกเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานจับกุมในความผิดอาญา กรณีนำน้ำผึ้ง ซึ่งเป็นของป่าออกจากเขตอุทยานแห่งชาติฯ เมื่อวันที่ 17 เม.ย. 2557 ซึ่งทางการสืบสวนมีพยานหลักฐานน่าเชื่อว่าเกิดจากการกระทำผิดอาญา

นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี พร้อมพวกรวม 4 คน เดินทางเข้ารับทราบข้อกล่าวหาที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)  เมื่อ 12 พ.ย. 2562 ภาพ ภานุมาศ สงวนวงษ์ / Thai News Pix

ต่อมาคณะกรรมการคดีพิเศษ ได้มีมติให้กรณีดังกล่าวเป็นคดีพิเศษที่ต้องสืบสวนและสอบสวนตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 โดยเป็นคดีพิเศษที่ 13/2562 และอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษได้มีความเห็นควรฟ้อง 1.นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร 2.นายบุญแทน บุษราคัม 3.นายธนเสฏฐ์ หรือไพฑูรย์ แช่มเทศ และ 4.นายกฤษณพงษ์ จิตต์เทศ เป็นผู้ต้องหาที่ 1-4 ตามลำดับ
ในความผิดฐาน ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและเพื่อจะเอาหรือเอาไว้ซึ่งผลประโยชน์อันเกิดแก่การที่ตนได้กระทำความผิดอื่นเพื่อปกปิดความผิดอื่นของตนหรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้, ฐานร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่นหรือกระทำด้วยประการใดๆ ให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย เป็นเหตุให้ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวถูกกักขังหรือต้องปราศจากเสรีภาพในร่างกายนั้นถึงแก่ความตาย
ฐานเป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบข่มขืนใจเพื่อให้บุคคลใดมอบให้หรือหามาให้ซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่ตนเอง, ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต, ฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และความผิดฐานอื่นที่เกี่ยวข้อง
โดยส่งสำนวนการสอบสวนพร้อมความเห็นดังกล่าวไปยังอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีพิเศษ สำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินการตามกฎหมาย

มึนอ ภรรยาของบิลลี่ ให้สัมภาษณ์ถึงการหายไปของสามี

ต่อมา สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 1 สำนักงานคดีพิเศษ ได้มีหนังสือลงวันที่ 23 ม.ค. 2563 แจ้งคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาทั้งหมดตามข้อกล่าวหา
โดยออกคำสั่งฟ้องผู้ต้องหาที่ 1-3 เฉพาะความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และออกคำสั่งฟ้องผู้ต้องหาที่ 4 เฉพาะความผิดฐานสนับสนุนตามข้อกล่าวหาดังกล่าว พร้อมส่งสำนวนการสอบสวนและความเห็นมายังอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อพิจารณาว่าจะเห็นด้วยหรือไม่
ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 มาตรา 34 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145 พ.ต.ท.กรวัชร์ ระบุว่าภายหลังที่ได้รับสำนวนการสอบสวนและความเห็นของพนักงานอัยการแล้ว กรมสอบสวน คดีพิเศษได้ตรวจพิจารณาพยานหลักฐานในสำนวนการสอบสวน ทั้งพยานบุคคล พยานเอกสาร พยานวัตถุ และโดยเฉพาะพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ประกอบความเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่ปรากฏในสำนวนการสอบสวน กับความเห็นของพนักงานอัยการที่ประกอบการออกคำสั่งไม่ฟ้องแล้วอัยการสูงสุดเห็นแย้ง
เห็นว่ากรมสอบสวนคดีพิเศษ ไม่เห็นด้วยกับคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการดังกล่าว เนื่องจากทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ เขื่อมั่นใจพยานและหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ และหลักฐานทั้งหมด จึงมีการส่งเรื่องในความเห็นต่างไปยังอัยการสูงสุดเพื่อพิจารณาอีกครั้งต่อไป
TODAYWriterTODAY

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง