ปฏิเสธไม่ได้ว่าการแพร่ระบาดของของโรคโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจไปทั่วโลก ทำให้หลายองค์กรต้องหาทางปรับตัวให้อยู่รอดทั้งในระยะสั้น และกำหนดกลยุทธ์ระยะยาวเพื่อให้บริษัทสามารถยืนหยัดได้ในทุกวิกฤต
แต่ถึงอย่างนั้น โลกหลังโควิด-19 ยังดูเหมือนจะมีความท้าทายใหม่ๆ ที่ภาคธุรกิจต้องเผชิญ ซึ่งบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดีแทค ได้วิเคราะห์เทรนด์ระดับโลกที่จะเปลี่ยนสภาพสังคมและธุรกิจในโลกหลังโควิด-19
พร้อมประกาศวิสัยทัศน์ชูแนวคิด ‘การดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบ’ เพื่อฝ่า 3 ความปกติใหม่ทางธุรกิจ และเพิ่มขีดความสามารถในการปรับตัวท่ามกลางความไม่แน่นอน ในงานสัมมนา dtac Responsible Business Virtual Forum 2021
นายชารัด เมห์โรทรา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ดีแทค กล่าวว่า การแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ได้ทำให้เห็นความสามารถของมนุษย์ในการปรับตัวและยืนหยัด (human resilience) ดังเห็นได้จากอัตราการใช้งานช่องทางดิจิทัลที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เช่น อัตราการใช้อินเทอร์เน็ตที่เพิ่มขึ้น 2 เท่าในช่วงที่มีการระบาด
“แต่ไม่ใช่เพียงมนุษย์เท่านั้น แต่ภาคธุรกิจเองก็ต้องปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงในโลกหลังการระบาด พร้อมสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายด้วย” นายชาร์ดกล่าว
โดนดีแทคมองว่ามี 3 เมกะเทรนด์ที่จะมากำหนดทิศทางการเปลี่ยนแปลง และเร่งให้ภาคธุรกิจต้องปรับตัว ดังนี้
1.โครงสร้างธุรกิจมุ่งความสำคัญไปที่ขนาดและประสิทธิภาพ ซึ่งเห็นได้จากการควบรวมกิจการต่างๆ ในระดับภูมิภาค เช่น ความสนใจในธุรกิจโทรคมนาคมของบริษัทพลังงานอย่างกัลฟ์, การควบรวมกิจการระหว่าง Digi และ Celcom ในมาเลเซีย ขณะที่แกร็บ สตาร์ทอัพยูนิคอร์นสัญชาติมาเลเซียนั้นมีแผนเข้าตลาดหุ้นสหรัฐฯ
“วิกฤตต่างๆ กดดันให้ภาคธุรกิจต้องลงทุนเพิ่ม ดังนั้นองค์กรอาจต้องมองไปในระยะยาวแล้ววางโมเดลธุรกิจใหม่ หรืออาจอาศัยการควบรวมกิจการ, การหาพันธมิตร หรือหาบริษัทเอาท์ซอร์ส ก็เป็นอีกวิธีที่ทำให้ภาคธุรกิจปรับโฟกัสได้ดีขึ้น”
2.ความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัลที่กว้างขึ้น (Digital Divide) วิกฤตโควิด-19 ได้เร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรรม โดยทั้งภาครัฐและธุรกิจต่างส่งเสริมให้มีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็นจำนวนคนหันมาใช้เน็ตรายเดือนเพิ่มขึ้น รวมถึงการขยายสัญญาณไปยังพื้นที่ห่างไกลได้มากขึ้น ซึ่งถือเป็นโอกาสอันดีในการกระตุ้นการเปลี่ยนผ่านดิจิทัล
อย่างไรก็ตาม ปรากฏการณ์ดังกล่าวได้ก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัลที่สูงขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มคนชายขอบและกลุ่มเปราะบางที่เข้าไม่ถึงอินเทอร์เน็ต หรือขาดความรู้ในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างเต็มศักยภาพ สิ่งที่ทุกองค์กรควรทำคือส่งเสริมให้ทุกคนสามารถเข้าถึงดิจิทัลได้อย่างไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
3.ผลกระทบจากภาวะโลกร้อนต่อห่วงโซ่อุปทานโลก นอกเหนือจากวิกฤตโควิด-19 ประเทศไทยยังเผชิญกับภาวะโลกร้อนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันได้ส่งผลกระทบตามแนวชายฝั่งและระบบนิเวศทางการเกษตรที่เปราะบาง
และในอนาคตอันใกล้นี้ การเปลี่ยนแปลงทางสภาวะอากาศอาจส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังเช่นในวิกฤตมหาอุทกภัยในปี 2554 ซึ่งส่งผลให้เกิดการขาดแคลนฮาร์ดไดรฟ์ไปทั่วโลก
นายชารัดอธิบายเพิ่มเติมว่า ดีแทคได้กำหนดหลักการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบ (Responsible business) ซึ่งจะเป็นหัวใจสำคัญในการยกระดับขีดความสามารถในการยืนหยัดท่ามกลางความไม่แน่นอน และสร้างความไว้วางใจแก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่างๆ
โดยประกอบด้วย 7 เสาหลัก ได้แก่ 1.การสร้างบรรทัดฐานใหม่ด้วยหลักธรรมาภิบาล 2.การปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล 3.การสร้างความยั่งยืนในห่วงโซ่อุปทาน 4.การสร้างสังคมดิจิทัลสำหรับทุกคน 5.การเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศ 6.สิทธิมนุษยชน และ 7.การสร้างสุขภาวะในที่ทำงาน
ขณะเดียวกัน ดีแทคยังเล็งเห็นถึงแนวโน้มความปกติใหม่ (new normal) 3 ด้าน และได้มีการกำหนดกลยุทธ์ในการรับมือความเปลี่ยนแปลงที่เกิดในภาคธุรกิจ ดังนี้
เปลี่ยนวันนี้ เพื่อสภาพอากาศที่ดีขึ้น
ข้อมูลของ GSMA ระบุว่า อุตสาหกรรมโทรคมนาคมใช้พลังงานไฟฟ้าคิดเป็น 4% ของโลก และกลายมาเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย
โดยประเทศไทยนั้นมีอัตราการขยายตัวอย่างรวดเร็วของเสาสัญญาณเพื่อเร่งการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของคนในประเทศเฉลี่ยอยู่ที่ 7% ซึ่งสูงกว่าอัตราการเติบโตโดยเฉลี่ยของโลกซึ่งอยู่ที่ 4.2%
ขณะที่ในช่วงโควิดระลอก 3 ลูกค้าดีแทคมีอัตราการใช้ดาต้าเฉลี่ยพุ่งสูงถึง 20 GB ต่อคนต่อเดือน ซึ่งตัวเลขการเพิ่มขึ้นดังกล่าวส่งผลต่อการใช้พลังงานในการให้บริการโครงข่ายที่ปัจจุบันมีสัดส่วนสูงถึง 97% ของกระบวนการการดำเนินธุรกิจทั้งหมดของดีแทค

สาเหตุเหล่านี้ทำให้ดีแทคกำหนดเป้าหมายเพื่อลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม โดยตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศ 50% ภายในปี 2573 ผ่านการใช้พลังงานทางเลือก เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในส่วนงานบริหารโครงข่ายและคอลเซ็นเตอร์
และแสวงหาความร่วมมือข้ามอุตสาหกรรมในการนำเทคโนโลยี 4G / 5G ร่วมกับโซลูชัน IoT เพื่อสร้างระบบการจัดการพลังงานน้ำและไฟฟ้าอัจฉริยะ ทั้งยังเดินหน้าจะลดปริมาณการทิ้งขยะทั่วไปจากสำนักงานและขยะอิเล็กทรอนิกส์แบบฝังกลบเป็นศูนย์ ภายในปี 2565 โดย 80% ของขยะอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมดของดีแทคนั้นคือซากอุปกรณ์โครงข่าย
ซัพพลายเชนต้องยั่งยืน
ภายใต้มาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม บริการโทรคมนาคมได้กลายเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ดีแทคนั้นมีการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานหรือซัพพลายเชนอย่างยืดหยุ่น ผ่านการดำเนินงานในด้านต่างๆ เพื่อให้สามารถบริการลูกค้าได้อย่างต่อเนื่องและปลอดภัยในทุกสถานการณ์
นางสาวทิพยรัตน์ แก้วศรีงาม รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มงานขาย ดีแทค กล่าวว่า ดีแทคมุ่งเน้นการดำเนินงานใน 3 มิติ ได้แก่ 1.การให้บริการอย่างต่อเนื่อง โดยดีแทคได้ปรับเปลี่ยนวิถีการทำงาน และปัจจุบันพนักงานดีแทคกว่า 95% นั้นสลับระหว่างการทำงานที่บ้านและในสำนักงาน
2.การปรับแผนกระจายสินค้าและจุดบริการตามการโยกย้ายพื้นที่ของผู้ใช้งาน และเพิ่มจุดกระจายสินค้าอย่างรวดเร็ว และ 3.เร่งลูกค้าและคู่ค้าทั้งซัพพลายเชนเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล ผ่านการกระตุ้นการใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลในการทำธุรกรรมให้มากที่สุด
นอกจากนี้ ดีแทคยังให้ความสำคัญต่อประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนในห่วงโซ่อุปทาน โดยมีการกำหนดมาตรฐานเข้มงวดในการทำงานกับคู่ค้า ซึ่งครอบคลุมมิติด้านสิทธิแรงงานและข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อลดความเสี่ยงและเสริมแกร่งความสามารถในการปรับตัว โดยประกาศภารกิจพิชิต 0 คือ จะไม่มีผู้เสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บจากการทำงานในซัพพลายเชนของดีแทค ไม่มีการคอร์รัปชั่นทุกรูปแบบ เป็นต้น
คำนึงถึงความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล
ด้วยการเปลี่ยนผ่านดิจิทัลที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในยุคโควิด-19 ผู้บริโภคเริ่มหันมาแสดงความกังวลต่อความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล และประเด็นดังกล่าวกลายมาเป็นอีกปัจจัยสำคัญในการเลือกใช้บริการของผู้บริโภค
จากผลสำรวจของ Cisco พบว่าผู้คนกว่า 48% รู้สึกว่าตนเองไม่สามารถปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลได้ดีพอ โดยสาเหตุหลักเป็นเพราะไม่รู้ว่าองค์กรต่างๆ นั้นนำข้อมูลไปใช้ในลักษณะใดบ้าง
ทำให้ดีแทคได้มีการกำหนดนโยบายการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลขึ้น เพื่อควบคุมการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลภายในองค์กร สอดคล้องกับกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของสหภาพยุโรป (General Data Protection Regulation – GDPR) และ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของไทย (Personal Data Protection Act – PDPA)
นายมาร์คุส แอดอัคทูสเซ่น รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มกิจการองค์กร ดีแทค กล่าวว่า ธุรกิจจำนวนมากต่างต้องพึ่งพาข้อมูลมากขึ้นในการออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ ซึ่งรวมถึงข้อมูลส่วนบุคคลด้วยในบางกรณี
“แต่ในยามที่แนวทางการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลยังไม่มีความชัดเจน เราจึงยินดีที่ได้เห็นการบังคับใช้กฎหมายและแนวทางปฏิบัติที่ส่งเสริมสิทธิความเป็นส่วนตัวในประเทศไทย อย่างไรก็ดี ภาครัฐต้องอาศัยการทำงานแบบองค์รวม เพื่อให้เกิดความชัดเจนทั้งในแง่ของความหมายในบทบัญญัติที่สำคัญ และความสอดคล้องระหว่างกฎหมายอย่าง PDPA กับกฎเกณฑ์เฉพาะในแต่ละหมวดธุรกิจ ซึ่งการกำหนดมาตรฐานและความคาดหวังอย่างเป็นรูปธรรมจะช่วยสร้างความเข้าใจอันดียิ่งขึ้นให้กับผู้บริโภค ว่าข้อมูลของพวกเขาถูกใช้งานอย่างไรบ้าง”










